วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาหารต้องห้าม สำหรับโรคบางชนิด

อาหารต้องห้ามสำหรับโรคต่างๆ

อาหารต้องห้ามสำหรับโรคต่างๆ

แหล่งที่มา : http://www.perfectly-health.com

ใครที่ป่วยเป็นโรค 10 ชนิด ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีข้อห้ามในการรับประทานอาหาร ที่เป็นของแสลงดังนี้ค่ะ

1. เป็นไข้หวัด มีไข้สูง : ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมาก ๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิง หรือเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟนั่นแหละ

2. โรคกระเพาะ : ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

3. โรคความดันเลือดสูง : โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเหลือดเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูงนอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน

4. โรคตับและถุงน้ำดี : หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จำทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

5. โรคหัวใจและโรคไต : ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงานและ หัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

6. โรคเบาหวาน : หลกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่งเ มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

7. นอนไม่หลับ : หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท

8. โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก : หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

9. ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด : ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

10. สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ : งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อ ความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว

การนวดหน้าเพื่อลดริ้วรอย

การนวดหน้าเพื่อลดริ้วรอย จากเว็บไซต์ http://club.truelife.com



การนวดหน้าเพื่อลดริ้วรอย เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยคุณได้นะค่ะ




เนื่อง จากได้รับการกระตุ้นด้วยแรงนวดทำให้เลือดไหลเวียนดี ผิวหน้าสดใส ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งนำไปปฏิบัติได้ระหว่างพักเหนื่อยจากการทำงาน เวลาตื่นนอน หรือก่อนเข้านอน ถ้าคุณพร้อมแล้วเรามาเริ่มปฏิบัติการลดเลือนริ้วรอยกันดีกว่าค่ะ




เริ่ม ต้นจากการทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจดกันเสียก่อน พร้อมกับจัดการรวบผมให้เรียบร้อย แล้วนั่งอยู่ในท่าสบาย ๆ จะบนเก้าอี้ หรือนอนบนเตียงแล้วแต่สะดวก (อย่าเผลอหลับไปเสียก่อน) ทำตัวเองให้ผ่อนคลาย และรู้สึกสบายใจให้มากที่สุด







ทั่วทั้งใบหน้า.
นำฝ่ามือทั้งสองวางไว้กลางใบหน้า แล้วลูบเป็นวงกลมจากแก้ม ขากรรไกร ขมับ หน้าผาก จมูก คางอย่างช้า ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลาย


หน้าผาก.
วาง มือทั้งสองไว้บนหน้าผาก แล้วใช้ปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางนวดคลึงเบา ๆ จากกึ่งกลางหน้าผากเลื่อนออกไปตามแนวโค้งของคิ้ว และเลื่อนไปด้านข้างจากขมับทั้งสอง

วางมือทั้งสองไว้บนหน้าผาก แล้วใช้ปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางนวดคลึงเบา ๆ จากกึ่งกลางหน้าผากเลื่อนออกไปตามแนวโค้งของคิ้ว และเลื่อนไปด้านข้างจากขมับทั้งสอง


ดวงตา.
บริเวณ หางตาวางปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางไว้บริเวณหางตา แล้วเลื่อนขึ้นไปที่ขมับ เมื่อถึงขมับแล้วปล่อยมือออกทันที ส่วนบริเวณรอบดวงตาหลับตาแล้วค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วนางนวดเบา ๆ จากบริเวณหัวตา แล้วเลื่อนไปที่ขมับ
แก้ม วางปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางไว้บริเวณแก้มทั้งสอง แล้วนวดขึ้นไปที่ขมับอย่างช้า ๆ เพื่อดึงผิวขึ้นมา และช่วยต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก

บริเวณหางตาวางปลาย นิ้วกลาง และนิ้วนางไว้บริเวณหางตา แล้วเลื่อนขึ้นไปที่ขมับ เมื่อถึงขมับแล้วปล่อยมือออกทันที ส่วนบริเวณรอบดวงตาหลับตาแล้วค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วนางนวดเบา ๆ จากบริเวณหัวตา แล้วเลื่อนไปที่ขมับ แก้ม วางปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางไว้บริเวณแก้มทั้งสอง แล้วนวดขึ้นไปที่ขมับอย่างช้า ๆ เพื่อดึงผิวขึ้นมา และช่วยต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก






ขากรรไกร.
ใช้ ปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางของมือทั้งสองนวดเบา ๆ บริเวณขากรรไกร เริ่มจากตรงกลางแล้วไล่ไปตลอดแนว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

ใช้ปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางของมือทั้งสองนวดเบา ๆ บริเวณขากรรไกร เริ่มจากตรงกลางแล้วไล่ไปตลอดแนว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย


จมูก
ใช้ ปลายนิ้วนาง และนิ้วกลางวางไว้บริเวณสันจมูก นวดเบา ๆ แล้วลากตรงมายังปลายจมูก และตวัดมือขึ้น ริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางของมือทั้งสองข้างวางไว้บริเวณมุมปาก นวดเบา ๆ ขึ้นไปริมฝีปากด้านบน แล้วเลื่อนลงมายังริมฝีปากด้านล่าง คาง วางนิ้วกลางของมือทั้งสองไว้บริเวณกึ่งกลางคางให้นิ้วทั้งสองนวดขึ้นลงสลับ กันจากกึ่งกลางไปบริเวณด้านข้าง

ใช้ปลายนิ้วนาง และนิ้วกลางวางไว้บริเวณสันจมูก นวดเบา ๆ แล้วลากตรงมายังปลายจมูก และตวัดมือขึ้น ริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางของมือทั้งสองข้างวางไว้บริเวณมุมปาก นวดเบา ๆ ขึ้นไปริมฝีปากด้านบน แล้วเลื่อนลงมายังริมฝีปากด้านล่าง คาง วางนิ้วกลางของมือทั้งสองไว้บริเวณกึ่งกลางคางให้นิ้วทั้งสองนวดขึ้นลงสลับ กันจากกึ่งกลางไปบริเวณด้านข้าง





*** ทำเรียงตามขั้นตอนดังกล่าวซ้ำอีก 2 ครั้ง แต่ขอย้ำว่าอย่ากดน้ำหนักมือแรงจนเกินไป เพราะนั่นอาจจะเป็นการเพิ่มริ้วรอยให้กับคุณโดยไม่รู้ตัว ซึ่งวิธีนวดหน้าที่นำเสนอเป็นหลักการง่าย ๆ ไม่มีขั้นตอนอะไรยุ่งยากที่จะจดจำ ลองฝึกเพียงไม่กี่ครั้งก็จะจำได้ และสามารถปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่ว

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

"ผิวเปลือกส้ม" หรือ "เซลลูไลท์" แก้ไขได้...

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.bloggang.com



ปรากฏการณ์เซลลูไลท์คืออะไร?
ปรากฏการณ์เซลลูไลท์
หรือลักษณะของผิวหนังที่ขรุขระคล้ายผิวเปลือกส้ม เกิดจากสาเหตุสำคัญคือ
เซลล์ไขมันที่สะสมตัวเป็นก้อนอยู่บริเวณใต้ชั้นหนังแท้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติ
จนทำให้ผนังหุ้มเซลล์เกิดการบิดเบี้ยวเพราะถูกดึงรั้งอยู่ใต้ผิวหนัง
และเกิดเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวของเปลือกส้มที่อาจมองเห็นได้ชัดเจนจากผิวหนังชั้นนอก
การสะสมตัวอย่างผิดปกติของเซลล์ไขมันนี้ยังทำให้เกิดปัญหาในระบบไหลเวียนโลหิต
ทำให้โลหิตและน้ำเหลืองไหลเวียนได้ช้า เป็นเหตุให้ระบบแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ
ระหว่างเซลล์เสียสมดุล
ทำให้โครงสร้างเนื้อเยื่อของเซลล์ใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพและเสียความยืดหยุ่นไปอย่างรวดเร็ว
ระบบการกำจัดของเสียบกพร่อง
และเกิดการสะสมของเซลล์ไขมันและน้ำในเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้น

วิทยาการเพื่อช่วยลดเซลลูไลท์
แม้จะมีผู้พยายามคิดค้นวิธีขจัดเซลลูไลท์มาแล้วหลายรูปแบบในอดีต
ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดเซลลูไลท์ด้วยการลดน้ำหนัก
หรือแม้แต่รีดออกด้วยเครื่องไฟฟ้า
แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าทำแล้วได้ผล...

เมื่อ
20 ปีก่อน
วงการเสริมสวยเริ่มรู้จักและให้คำจำกัดความเซลลูไลท์ว่าคือของเสียหรือสารพิษที่จับตัวอยู่ในเซลล์ไขมัน
หากวงการแพทย์กลับบอกว่าเซลลูไลท์คือไขมันของผู้หญิงที่กลายมาเป็นเหตุของโรค
สิ่งที่แน่นอนเกี่ยวกับเซลลูไลท์คือ มันเชื่อมโยงกับฮอร์โมนเพศหญิง
จะปรากฏหรือกำเริบขึ้นด้วยแรงขับของฮอร์โมนที่มากกว่าปกติ เช่น
ฮอร์โทนในวัยรุ่น ขณะตั้งครรภ์ หรือเมื่อใช้ยาบางชนิด
ผู้หญิงจะมีเซลลูไลท์เพราะเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงกระตุ้นร่างกายให้เก็บไขมันสำรองบริเวณขาอ่อน
สะโพก ในเวลาที่มีเด็กอยู่ในท้อง หรือกำลังให้นมบุตร
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหรือแม่ของเด็กขาดสารอาหาร





เซลลูไลท์ประกอบด้วยอะไรบ้าง
นักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ไขมันที่ได้จากผู้หญิง
2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีเซลลูไลท์และกลุ่มที่ไม่มี
พบว่าไม่มีความแตกต่างกันเลย แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
ทำไมเซลลูไลท์จึงไม่ดูเรียบเหมือนไขมันที่เรามีอยู่ใต้ผิว ในทรวงอก
และใบหน้า?

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าบางทีอาจเป็นไปได้ว่าเพราะไขมันและเซลลูไลท์มีวิธีการเก็บที่ต่างกัน
ปกติไขมันจะมีแถบเนื้อเยื่อหลาย ๆ แถบยึดจับไว้ ทำให้ถูกแบ่งเป็นห้อง ๆ
โดยปริยาย เมื่อไขมันเพิ่มขึ้น ๆ
แถบเนื้อเยื่อจะตึงเพราะต้องพยายามรัดดึงไขมันจำนวนมากจนโป่งนูนขึ้น
แต่ว่าในแต่ละห้องไม่ได้มีเฉพาะไขมันบรรจุอยู่เท่านั้น
ถ้าการหมุนเวียนโลหิตไม่ดี อาหารการกิน สภาพแวดล้อมเลวร้าย
และมีความเครียด
เหล่านี้ทำให้ผนังเซลล์เต็มไปด้วยของเสียที่เป็นพิษสะสมอยู่
ของเหลวส่วนเกินไม่สามารถถ่ายเทออกมาได้ ลักษณะที่กล่าวมานี้เอง
ส่งผลให้ไขมันจับตัวกันเป็นก้อนนูน ทำให้พื้นผิวไม่เรียบ




วิธีขจัดเซลลูไลท์
ไม่ว่าคุณจะโทษว่าเซลลูไลท์เกิดจากของเสียหรือเชื่อมั่นว่ามันเป็นเพียงไขมันธรรมดาก็ตาม
ความเป็นจริงก็คือ ผู้หญิงกว่า 80% มีไขมันสะสมอยู่ที่สะโพกและขาอ่อน
และเราเรียกมันว่า "เซลลูไลท์" ฉะนั้นมาดูวิธีกำจัดเซลลูไลท์กันดีกว่า

เครื่องมือละลายไขมัน



ร้านเสริมสวยหรือคลีนิคจะทำการรักษาด้วยเครื่องไฟฟ้า
โดยวางเครื่องลงบนบริเวณที่มีเซลลูไลท์
แล้วเพิ่มแรงกดหรือเขย่าลงบนเซลลูไลท์เพื่อสลายเซลล์ไขมัน
: -
ร้านเสริมสวยหลายร้านบอกว่า เครื่องมือสามารถช่วยให้ดีขึ้น
แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะได้ผล
และยังย้ำอีกด้วยว่าเซลลูไลท์จะกลับมาอีกแน่นอนถ้าขาดการออกกำลังกายและรับประทานอาหารอย่างขาดหลักเกณฑ์


ฝังเข็ม



ผู้เชื่ยวชาญจะฝังเข็มที่ปราศจากเชื้อโรคลงบนบริเวณเซลลูไลท์
ประมาณ 3-5 มิลลิเมตรใต้ผิวหนัง
เข็มเหล่านี้จะเชื่อมกับขั้วไฟฟ้าซึ่งจะส่งถ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อทำลายเซลล์ไขมันและแพร่กระจายของเหลว

: - หลังการรักษา ประมาณ 80% พบว่าขาเรียวขึ้น
แต่การรักษาแบบนี้ต้องแน่ใจในเรื่องความสะอาดของเข็ม
และจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้หญิงที่มีเซลลูไลท์จำนวนไม่มากนัก
และถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารให้ถูกวิธีและได้สัดส่วนที่เหมาะสม
ไขมันก็จะกลับมาอีก

พันต้นขา



พันต้นขาหรือก้น ด้วยพลาสติกให้แน่น เพิ่มความร้อนเข้าสู่บริเวณดังกล่าว เพื่อให้เหงื่อออก และลดปริมาณเซลลูไลท์ได้หลายเซนติเมตร
:
- วิธีนี้ไม่ได้ผลอะไรเลย เซลลูไลท์ไม่สามารถไหลออกมาเป็นเหงื่อได้
หลายเซนติเมตรที่สูญเสียไปไม่ใช่เซลลูไลท์ แต่เป็นของเหลว (น้ำ)
การรักษาแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลและไม่ได้ประโยชน์อะไร
เมื่อดื่มน้ำตามปกติต้นขาของคุณก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ที่สำคัญเราไม่ควรงดดื่มน้ำเด็ดขาดเพราะจะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณตามมามากมาย


การขัดผิว



ขัดผิวด้วยแปรงหรือใยขัดผิวระหว่างอาบน้ำ
จะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนโลหิตและช่วยปรับปรุงบริเวณที่เป็นเซลลูไลท์ให้ดูดียิ่งขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามบอกว่าการขัดผิวในลักษณะเคลื่อนที่เป็นวงกลมช่วยได้
(ขัดติดต่อกัน 5 นาที สัปดาห์ละครั้ง จะดีกว่าการขัดในเวลาสั้น ๆ หลาย ๆ
ครั้ง)
นอกจากนี้ควรใช้เจลอาบน้ำหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมันด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง

: - ศัลยแพทย์ด้านความงามกล่าวว่า
การหมุนเวียนโลหิตไม่ดีจะทำให้เลือดสะสมอยู่ที่ต้นขาและสะโพก
และส่งผลให้ไขมันในบริเวณดังกล่าวโป่งออกมาได้
วิธีแก้คือควรจะทำตัวให้กระฉับกระเฉง
หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตช้าลง เช่น
การสวมเสื้อผ้าที่คับมาก และใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ

ออกกำลังกาย



การออกกำลังกายเบา ๆ เป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ
จะช่วยปรับปรุงบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเซลลูไลท์ได้ การออกกำลังดังกล่าว
ได้แก่ การเดินออกกำลัง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ครั้งละ 1 ชั่วโมง 3 ครั้ง ต่อ
1 สัปดาห์
: - วิธีนี้ใช้เวลาอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องใจเย็น ๆ

เซลลูไลท์ครีมและโลชั่น


ใช้ครีมหรือโลชั่นทาผิว คล้าย ๆ กับการบำรุงผิวทั่ว ๆ ไป แต่ให้ผลในเรื่องการสลายเซลลูไลท์ โดยไม่ต้องตบหรือตีลงบนผิว
:
- ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้รับการทดสอบแล้วว่า
สามารถทำให้เซลลูไลท์ดูเบาบางลงได้ และช่วยปรับปรุงสภาพผิวด้วย
วิธีนี้ง่าย สามารถทำเองได้ที่บ้าน และประหยัดกว่าไปทำที่ร้าน

สถานเสริมความงามบางแห่ง
คลีนิคและหนังสือหลายเล่ม แนะนำให้ต่อสู้กับเซลลูไลท์ด้วยการอดอาหาร
เพื่อลดน้ำหนักและการสะสมของเสียในเซลล์
แต่ถ้าใครแนะนำให้คุณลดน้ำหนักแบบกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแต่น้อยก็อย่าใส่ใจ
เพราะการลดน้ำหนักแบบนี้จะลดได้เร็วก็จริง
แต่ที่คุณสูญเสียไปส่วนใหญ่คือของเหลว
และในไม่ช้าน้ำหนักตัวของคุณก็จะกลับมาอีก
นอกจากนี้การลดน้ำหนักแบบนี้ในระยะยาวจะทำให้การเผาผลาญช้าลงและลดน้ำหนักตัวได้ยาก
อาหารที่จะช่วยคุณลดน้ำหนักและเซลลูไลท์ได้อย่างถาวรก็คือ
อาหารที่ให้ธาตุอาหารครบทั้ง 5 หมู่อย่างสมดุลนั่นเอง...


5 ท่วงท่า รับอรุณฟิตหุ่นสวย


1. เรียกเหงื่อเพื่อหุ่นสวย
ออก กำลังเบาๆเพื่อปลุกระบบการไหลเวียนของโลหิตให้กระฉับกระเฉงขึ้นด้วยการ กระโดดเชือกเล่นสัก 1 นาที แค่พอให้กล้ามเนื้อของคุณรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ไม่ต้องถึงกับกระโดดซะเพลินจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อย ออกกำลังหักโหมเกินไปถือว่าผิดวัตถุประสงค์นะขอบอก

2. แขนกระชับรับสัดส่วน
ใต้ ท้องแขนของคุณมักจะห้อยย้อยไปมาใช่มั้ย งั้นลองบริหารแขนด้วยท่านี้ โดยยืนตัวตรงแยกขาจากกันเล็กน้อย มือแต่ละข้างถือดัมบ์เบลขนาดเล็กหนักประมาณ 300 กรัม เอาไว้กางแขนทั้งสองข้างให้เหยียดตรง ค้างไว้ประมาณ 1 นาที จากนั้นค่อยปล่อยแขนลง
เคล็ดลับ : หากในระหว่างที่กางแขน ก้มหน้าลงเล็กน้อยจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

3. สวยไม่สร่างแม้ข้างหลัง
แผ่น หลังของคุณหนักอึ้งติดกับที่นอนทุกเช้าใช่หรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย ลองลุกขึ้นมาบริหารแผ่นหลังด้วยท่าแมวเหมียวคลานสี่เท้า จากนั้นงอเข่าขวาให้ลอยขึ้นจากพื้น พร้อมกับงอข้อศอกซ้าย ให้แขนและฝ่ามือลอยขึ้นขนานกับพื้นค้างไว้ในท่านี้ประมาณ 15 วินาที แล้วสลับไปทำเช่นเดียวกันนี้กับแขนและขาอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำข้างละ 4 ครั้ง

4. หน้าท้องแบนราบอย่างนางแบบ
ปู เบาะหรือพรมนุ่มๆรองไว้ นอนเหยียดยาวตัวตรง เท้าชิด แขนชิดแนบกับลำตัว จากนั้นงอเข้าขึ้น ให้เฉพาะส้นเท้าเท่านั้นที่แตะพื้น แล้วค่อยๆยกศรีษะและลำตัวส่วนบนขึ้นเข้าหาเข่า จนอยู่ในระดับที่ฝ่ามือแตะข้างเข่า และแขนขนานกับพื้น ค้างไว้สักครู่โดยนับ 1 - 10 ในใจ และกลับสู่ท่านอนเหยียดตัวตรง ทำซ้ำเช่นนี้ 10 รอบ แต่หลังจากที่บริหารท่านี้ได้ 2 - 3 วันแล้ว ให้คุณพยายามฝึกท่านี้ให้นานขึ้น จากแค่การนับ 1 - 10 ในใจ ให้เป็น 1 - 60 หรือนานประมาณ 1 นาที รับรองหน้าท้องยุบ

5. ปั้นบั้นท้ายให้กลมกลึง
ก้น กระชับและดูดี หากหมั่นบริหารเป็นประจำด้วยท่านอนเหยียดตัวตรง แขนวางราบกับพื้นแนบลำตัว งอเข่าตั้ง วางฝ่าเท้าราบแบบเต็มๆฝ่าเท้า จากนั้นยกขาข้างหนึ่งขึ้นให้ข้อเท้าพาดอยู่บนเข่าของขาอีกข้างหนึ่ง พร้อมกับยกก้นและแผ่นหลังขึ้นจากพื้น ค้างอยู่ในท่านี้ประมาณ 30 วินาที หรือนับ 1 - 30 แล้วจึงค่อยสลับเปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกับขาอีกข้างหนึ่ง

ที่มา : นิตยสาร Lisa


ขจัดเซลลูไลท์

ปัญหาสภาพผิวเป็นคลื่นลอนคล้ายเปลือกส้ม ซึ่งก่อสภาวะรูปร่างที่ไม่ได้xxxส่วนบริเวณ ต้นขา ต้นแขน รอบเข่า สะโพก และน่อง ฯลฯ ที่ขจัดได้ยากเพราะเซลลูไลต์นั้นเกิดลึกลงไปใต้ ผิวในชั้นหนังแท้ที่แม้จะลดน้ำหนักอย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะถ้าหากทำผิดหลักการ มวลกล้าม เนื้อที่สูญเสียไปและเนื้อเยื่อ ที่เสื่อมสภาพจะก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น ดังนั้นจึงมักพบเห็นสุภาพ สตรีเป็นจำนวนมากที่ไม่มีปัญหาด้านน้ำหนัก หากแต่ผิวกายขาดความกระชับเต่งตึง สาเหตุการเกิดเซลลูไลต์นั้น นอกเหนือจากการขาดการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการที่ ขาดคุณค่า ดื่มน้ำน้อย การรับประทานยาคุมกำเนิด และสาเหตุของวัยที่ก่อให้เกิดการรวมตัว ของกรดไขมันอิ่มตัวจากอาหารที่รับประทานเข้าไป และน้ำตาลก่อตัวสะสมเป็นเซลล์ไขมันส่วน เกินแล้ว ยังพบว่าในทุกเดือนช่วงก่อนมีรอบเดือน ระบบฮอร์โมนจะทำการเตรียมพลังงานสำรอง พร้อมสำหรับการเป็นมารดา โดยพลังงานดังกล่าวจะสะสมอยู่ในรูปของน้ำตาล นับเป็นการก่อ ให้เกิดเซลล์ไขมันสะสมมากขึ้น และปกติจะถูกขับออกมา เมื่อมีการปฏิสนธิ หากแต่ 80% ของ สตรี พบว่าสภาวะร่างกายจะไม่สามารถขับไขมันดังกล่าวออกได้หมด และจะพอกตัวหนาขึ้น ซึ่งตามปกติสามารถขจัดได้ด้วยการใช้พลังงาน เช่นการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นกลไก Cyclic AMP ในการเร่งสร้างเอนไซม์สลายไขมันให้กับขบวนการ Lipolysis หรือขบวนการสลายไข มัน หากแต่เซลล์ไขมันสะสมดังกล่าวนี้จะแปรสภาพเป็นเซลลูไลต์ได้นั้น จะต้องประกอบด้วย สาเหตุที่สำคัญคือ การคั่งค้างของสารพิษของเหลวโดยปกติแล้วต่อมน้ำเหลืองจะมีหน้าที่ในการ ขับของเสียส่วนเกิน แต่เมื่อระบบการขับสารพิษและของเหลวที่คั่งค้างนี้เสื่อม ก็จะเปิดโอกาสให้ เซลล์ไขมันส่วนเกินข้างต้น รวมตัวกันและแปรสภาพเป็นวุ้นที่มีความเหนียว ยืดหยุ่นตัวมากกว่า ไขมันปกติซึ่งจะแทรกตัวเบียดอยู่ระหว่างช่องว่างของเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวด้านบนแลดูเป็นคลื่น ลอนคล้ายเปลือกส้ม และกดทับเส้นประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือเป็นจ้ำง่าย เมื่อกดผิว การแก้ไขปัญหาจะต้องกระทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง ซึ่งในปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญทาง ด้านสมุนไรพได้คัดส่วนผสมที่สามารถเข้าแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าวได้ คือสามารถกระ ตุ้น Cyclic AMP ให้เร่งสร้างเอนไซม์ไขมันด้วยคุณค่าที่สกัดจากเปลือกส้ม Bitter Orange รวมไปถึงกระตุ้นคืนความแข็งแรง กระชับและยืดหยุ่นให้กับเนื้อเยื่อ และควบคุมระบบหมุน เวียนของต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษ ไขมันส่วนเกินและของเหลวต่างๆ คุณค่าของเปลือกถั่วเหลืองที่ทำงานกับน้ำมันสกัดจากโรสแมรี่และลาเวนเดอร์ ในการนำพาส่วน ผสมเข้าบำรุงลึกถึงชั้นใน นอกจากนี้คุณค่าของชาเขียว เรดไวน์ ก็ช่วยในการปรับสภาพผิวเรียบ และน้ำมันสกัดจากจมูกข้าว ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวล อย่างไรก็ตาม หากคิดจะขจัดเซลลูไลต์ให้ ได้ผลดียิ่งขึ้นควรหมั่นออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมดื่อมน้ำให้ มากๆ นะคะ


6 ท่า 6 จุด หยุดไขมัน


ไปเจอบทความดีๆจากนิตยสาร เลยมาเล่าสู่กันฟังจ้า ลองไปทำกันดูนะค่ะ


เตยลองทำดูแล้วนะค่ะ ไปผลดีค่ะ แต่ควบคุมเรื่องการกินของตัวเองไม่ค่อยได้เท่าไหร่ อิอิ !!





Obesity
Therapy เป็นโยคะประยุกต์เพื่อลดสัดส่วนซึ่ง ครูแฮ้งค์-ปรีชา พุฒทอง
ได้ศึกษาและทดลองมานานกว่า 3 ปีจนได้รับลิขสิทธ์การันตีว่าช่วยลดไขมัน 6
จุดในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และยังช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
มีความยืดหยุ่นของข้อต่อดีขึ้น ลดอาการเมื่อยล้า
สร้างสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ พัฒนาทักษะในการควบคุมการใช้อวัยวะ
รู้จังหวะการหายใจ การรู้สึกตัวในขณะปฏิบัติ โดยทั้ง 6 ท่านี้
เป็นท่าพื้นฐานใน 35 ท่าโยคะ Obesity Therapy ที่ทำง่ายและได้ผลดี



1. ท่าหน้าวัวประยุกต์


A.
ยืนตัวตรงเท้าชิดติดกัน มือขวาจับปลายผ้าขนหนูข้างหนึ่ง
ยกแขนขวาขึ้นแล้วงอข้อศอกลงไปด้านหลังศีรษะ
แขนซ้ายแนบติดลำตัวงอแขนไว้ด้านหลังขนานกับช่วงเอว
จับปลายผ้าขนหนูอีกข้าง


B. หายใจเข้า มือขวาออกแรงดึงผ้าขนหนูขึ้นให้แขนขวาชิดใบหู


C. หายใจออก
มือซ้ายดึงผ้าขนหนูลงจนแขนซ้ายตึง ระวังอย่าให้แขนซ้ายแยกออกจากลำตัว
และต้องดึงผ้าให้ตึงตลอด ทำต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้ง ครั้งที่11
ลดแขนทั้งสองให้ขนานกันดังภาพแล้วออกแรงดึงผ้าให้ตึง ปล่อยแขนลงผ่อนคลาย
ทำซ้ำอีกข้าง ท่านี้จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณท้องแขนได้เป็นอย่างดี


2. ท่าเรือกลไฟ


A.
ยืนตัวตรงกางขาออกกว้างเป็น 3 เท่าของช่วงไหล่
ขาเหยียดตรงเปิดปลายเท้าขวาให้ตั้งฉากกับลำตัว หายใจเข้า
หงายฝ่ามือยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นขนานกับพื้น หายใจออก หมุนตัวมาทางขวามือ
90 องศา


B. หายใจเข้าประสานมือดันนิ้วชี้ขึ้นเหนือศีรษะ ยืดแขนให้ตึง หายใจออก งอเข่าขวาให้ตั้งฉากไม่เกินนิ้วโป้งเท้า


C. หายใจเข้า เกรงขายืดแขนให้ตึง หายใจออก ยืดตัวตรง แขม่วท้อง

D.
หายใจเข้า เกร็งขายืดตรง กลับไปท่าเริ่มต้น ทำแบบนี้ข้างละ 3 ครั้ง
ท่านี้จะช่วยลดไขมันท้องแขน และสะโพก ได้บริหารปีกสะบักกลางหลัง
และกล้ามเนื้อต้นขา


3. ท่าบิดลำตัว


A. นั่งหลังตรง ใช้ขาซ้ายไขว้ขาขวา ปลายเท้าขวาวางข้างสะโพก อกชิดติดเข่า แขนซ้ายกอดหัวเข่าขวา


B.
หายใจเข้าให้ลึก วาดแขนขวาไปทางด้านหลังวางไว้ที่เอว หายใจออก
แขม่วท้องบิดเอวหันหน้าไปทางด้านหลัง หายใจเข้าหันหน้ากลับท่าเริ่มต้น ทำ
3 รอบแล้วเปลี่ยนข้าง ท่านี้จะช่วยลดเอว หน้าท้อง ต้นขา ปีกสะบัก
และแนวขอบอก


4. ท่ายืดส่วนหลัง


นั่งหลังตรง
ยืดขาทั้งสองข้างไปด้านหน้าเกร็งปลายเท้าให้ตั้งฉาก หายใจ
เข้ายกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ หายใจออก คว่ำมือแล้วค่อยๆ ก้มตัวลง
เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณช่วงเอว แล้วใช้นิ้วชี้เกี่ยวนิ้วโป้งเท้า ค่อยๆ
ก้มตัวลงอีก งอศอกเล็กน้อยค้างไว้ประมาณครึ่งนาที
(สำหรับคนที่ไม่สามารถเกี่ยวนิ้วได้ อย่าฝืน
ให้จับบริเวณใต้เข่าและก้มตัวเท่าที่ทำได้) ยืดตัวขึ้นช้าๆ
ท่านี้จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย บริหารกล้ามเนื้อส่วนหลัง และต้นขา


5. ท่าสะพาน


A. หายใจเข้านอนหงายขนานกับพื้น งอขาชันเข่า เอามือจับที่ส้นเท้า เกร็งหัวเข่ากดคางกับหน้าอก


B. หายใจเข้า
ยกสะโพกขึ้นเท่าที่ทำได้ (ใช้มือค้ำที่เอวได้) หายใจออก หายใจเข้า
เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก หายใจออก ค่อยๆ วางตัวลงกับพื้น ทำ 4 ครั้ง
ท่านี้จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง ต้นขา และบริหารกล้ามเนื้อหลัง


6. ท่าศพ


นอนเหยียดขา
กระดกปลายเท้า เกร็งเท้า เข่า ต้นขา สะโพก ขมิบก้น เกร็งส่วนคอ
กำหมัดแล้วเกร็ง โดยเกร็งส่วนละ 2 วินาที
แล้วปล่อยให้ผ่อนคลายเป็นท่าจบและนอนพัก การเกร็งส่วนต่างๆ
จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย



สูตรลดความอ้วน เห็นผลใน 3 เดือน!!


เรื่องโดย อรนภา กฤษฎี (ม้า)



ให้เวลากับตัวเองในเวลา
3 เดือน ตามตารางที่ดิฉัน กำหนดให้คุณ รับรองว่าเห็นผลแน่ ในการมีรูปร่าง
หน้าตาที่สวยกว่าเดิม แต่ขอย้ำนะคะว่าคุณจะต้อง ซื่อตรง ต่อตารางที่
ดิฉันกำหนดให้ ดิฉันจะกำหนดตารางเป็น 4 อาทิตย์ต่อเดือน ทั้งหมดก็จะเป็น
12 อาทิตย์ ในแต่ละอาทิตย์จะมีกิจกรรม ให้คุณทำครบ ถ้วน
กระบวนความเป็นการดูแลตัวเองล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การดูแลผิวพรรณ
การออกกำลังกายไปจนถึงการเสริมความงามให้กับตัวเอง

ขอบอกไว้ก่อนว่า
ไม่ยากหรอกค่ะ เพียงแต่คุณต้องจัดระเบียบให้กับตัวเอง มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ไม่อีลุ่ยฉุยแฉก ปล่อยชีวิตให้กระจัดกระจายไปตามอารมณ์ ไร้ระเบียบแบบแผน
พร้อมหรือยังคะ ที่จะทำตัวให้สวยภายในเวลา 3 เดือน ถ้าพร้อมแล้ว
เริ่มอ่านตารางที่ดิฉันจัดให้ ขอให้ละเอียดหน่อยนะคะในการอ่าน
และพึงปฏิบัติด้วยล่ะ

เริ่มเดือนแรก อาทิตย์ที่ 1
1.. .เปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ดื่มน้ำมากๆวันละ 8-10 แก้ว

2.. หันมารับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ
เป็นพวกโยเกิร์ตหรือนมที่มีแคลลอรี่ต่ำก็ได้ มีการจำกัด
หารับประทานเนื้อดิบที่มีไขมันสูง เลือกรับประทานเฉพาะปลา
หรือเป็ดไก่ที่ไร้หนัง เนยก็รับประทานได้ แต่ต้อง Low-Fat นะคะ และทั้งหมด
ควรรับประทานพอประมาณ

3.. .เริ่มที่จะขัดผิวกายของคุณก่อนการอาบน้ำเป็นประจำทุกวัน
เพื่อช่วยให้มีการระบาย น้ำเหลืองให้หมุนเวียนไปตาม โครงสร้างของผิวทำให้
ทั่วร่าง เริ่มจากเท้าและฝ่าเท้าของคุณ ไปจบตรงแผ่นหลัง ให้แน่ใจเสมอว่า
ทั่วถึงทั้งเรือนร่างทุกครั้งที่ทำ

4.. .เริ่มว่ายน้ำอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 20 นาที อย่างต่อเนื่อง

อาทิตย์ที่ 2
1.. รับประทานผลไม้ให้มากขึ้น
รับประทานผลไม้สดวันละ 2-4 มื้อ จะรับประทานเป็นผลหรือคั้นน้ำก็ได้
จำพวกผลไม้ผลเล็กๆ หรือองุ่นให้ได้จำนวนปริมาณน้ำ 2 ช้อนโต๊ะใหญ่ต่อวัน

2.. .เริ่มหัดเดินให้ไกลๆบ้าง
อย่าเวลาคุณไปทำงาน ถ้าระยะทางจากบ้านไปที่ทำงานไกลเกิน
ก็ให้นั่งรถครึ่งเดินครึ่ง แต่ต้องเดินในที่ที่สบายเพื่อการผ่อนคลาย
มิฉะนั้นก็มีทางเลือกอย่างอื่น คือเดินสัก 20 นาทีหลังมื้อเที่ยง
ทำเช่นนี้สัก 3 วัน ใน 1 อาทิตย์
และทุกครั้งควรเดินอย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง

3.. นัดช่างผมกรรไกรทองสำหรับ การเปลี่ยนทรงผมใหม่ หรือจะเล็มผมที่ยาวแล้วก็ได้ และตั้งใจไว้เลยว่าคุณต้องทำเช่นนี้ทุกๆ 3 เดือน

4.. เคลียร์ตู้กับข้าวของคุณซะใหม่
ให้ทิ้งสิ่งต่างๆ ที่เป็นส่วนของการเพิ่มไขมัน
ให้มีแผนการสำหรับการกินอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น อย่างเช่น
เนื้อปลาทะเลชิ้นบางๆ น้ำ หรือน้ำมันมะกอก ถ้าเป็นไปได้ ในตู้กับข้าว
ตู้ใหม่ของคุณจะต้องมีอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่มีปริมาณ น้ำตาลต่ำ
หรือไร้น้ำตาลไปเลย

อาทิตย์ที่ 3
1.. .เริ่มดูแลผิวพรรณ

โดยการเข้าร้านเสริมสวยซะ โดยกรรมวิธีที่จะทำให้ผิวพรรณ คุณ
ดูนุ่มนวลดุจธรรมชาติ อย่างเช่นเอาพืชทะเล มาพันร่าง เพื่อทำให้ผอม
พร้อมกับ ครีมที่มีกลิ่นหอมมานวดร่างคุณ หรือไม่ก็ขัด
ผิวคุณด้วยพืชพรรณตามธรรมชาติ ผิวคุณก็จะดูผุดผ่องขึ้นมาทันตา

2.. อาทิตย์นี้ก็อย่าลืมให้เวลากับการเดิน อาจจะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ตามสวนสาธารณะ หรือออกไปนอกเมืองไกลๆ แล้วใช้การเดินระยะยาว

3.. ตรวจดูการรับประทานคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง
อย่างขนมปัง ธัญพืชหรือผลไม้อย่างมะเขือเทศ
คุณควรที่จะควบคุมการรับประทานอาหารอย่างตั้งใจวันละ 6-8 มื้อ
ขนมปังหั่นแผ่นบางๆสักชิ้น จะปิ้งหรือไม่ก็ได้ พวกธัญพืชสัก 3 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสัก 1 ช้อนโต๊ะ เส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเส้น พาสต้า พร้อมใส่ไข่สัก 2 ฟอง
กำลังดี พยายามเลือก ข้าวซ้อมมือ ขนมปัง หรืออาหารจำพวกเส้นที่มีคุณภาพ
ควรรับประทานเป็น อาหารบำรุง หรืออาหารเสริม เพื่อให้ร่างกาย
มีพลังงานใช้อย่างเต็มที่

อาทิตย์ที่ 4
1.. .ทำการบริหารหน้าท้อง
เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ โดยใช้วิธีง่ายๆแต่ทำเป็นประจำตลอดอาทิตย์
a..
เริ่มด้วยการนอนราบไปบนแผ่นยางหนาสักหน่อย เพื่อกัน กระดูก
ทิ่มพื้นชันเข่าขึ้น ให้เท้าราบไปกับพื้น มือประสาน
กันไว้ที่ท้ายทอยแล้วยกส่วนก้นขึ้นเนื้อพื้นพอประมาณ
พร้อมทั้งกดเกร็งหน้าท้อง แล้วหายใจออกอย่างช้าๆ โดยหลังยัง
ติดกับพื้นอยู่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆวางลงแล้วหายใจเข้าเป็น การผ่อนคลาย

b..
ยังอยู่ในท่าเดิม แต่มือประสารกันไว้ที่ท้ายทอยเพื่อ พยุงคอ
เอาไว้ยกลำตัวขึ้น กดหน้าท้อง โดยการเกร็ง แล้วหายใจ ออกช้าๆ
วางตัวนอนดังเดิมพร้อมหายใจเข้า ท่านี้เขาเรียกว่า sit up

c..
ในท่าเดียวกัน ยืดขาขวาให้ตรงกับลำตัว ในขณะที่ขาซ้ายยังชัน
เข่าอยู่แล้วงอเข่าขวามาที่หน้าอก พร้อมยกลำตัวขึ้นบิด ไปทาง
ขวาโดยให้ข้อศอกซ้ายแตะเข่าขวา เกร็งหน้าท้องไว้ อย่าลืม หายใจ ออกด้วย
ทำสัก10-15 ครั้ง แล้วเปลี่ยนกลับไปทำอีกข้าง

2.. ตรวจดูการดื่มแอลกอฮอล์ของคุณว่าอย่ามีมากกว่า
15 หน่วยต่ออาทิตย์เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกผู้หญิงอย่างเรา 1
หน่วยเท่ากับไวน์ 1 แก้วหรือเบียร์ครึ่งเหยือก แค่นี้กำลังงามค่ะ ภายใน 1
อาทิตย์

3.. เลิกล้มความฝันสำหรับชุดว่ายน้ำหรือบิกินี่ คุณจะดูวิเศษที่สุดก็ต้องหลังสองเดือนไปแล้ว

อาทิตย์ที่ 5
1.. เริ่มดื่มน้ำที่คั้นมาจากพืชชนิดที่มีใบ

อย่างเช่นน้ำยี่หร่าผสมน้ำเพื่อทำการกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของคุณ
จะดื่มหลังจากอาหารค่ำ ก็ได้(ไม่ควรดื่มขณะตั้งครรภ์) ดื่มชาผลไม้
เพื่อทำให้การหมุนเวียน ของเลือดดีขึ้น การทำงานของไตก็จะดีขึ้นไปด้วย
การดื่ม มิ้นต์ (peppermint) จะช่วยในเรื่องระบบการย่อยอาหารเช่นกัน

2.. อาทิตย์นี้เดินให้มากขึ้นสัก 20-30 นาที ตลอดอาทิตย์ เพิ่มระยะทางและความเร็วในการเดินให้มากขึ้นด้วย ก้าวแต่ละก้าวควรให้นุ่มนวล และเยือกเย็น เรียกว่า "มีสมาธิในการเดิน"

3.. รับประทานผัก 3-5 มื้อต่อวัน เป็นผักรวมจานเล็กๆ ถ้าเป็นไปได้ควรเป็นผักสด

วิธีทำสลัด (วิธีทำสลัดสไตล์คุณม้า)
หอมใหญ่ 1 หัว (ขาวหรือแดงก็ได้) ผัดขม ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง 1 กำ ( ล้างและลอกเปลือกอย่างสะอาด)

นำผักมาล้าง หั่นหอมใหญ่เป็นแว่นๆ แล้วตกแต่งให้สวยงามด้วยหน่อไม้ฝรั่งกับผักชีฝรั่ง


น้ำสลัด อย่างง่ายๆ

1 ช้อนโต๊ะสำหรับน้ำผึ้ง

1-2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว

พริกไทยป่น นิดหน่อย

ริกหยวก บดละเอียด ผสมให้เข้ากัน แล้วราดลงบนผักสลัด ที่จัดเตรียม ไว้ รับรองอร่อยแน่

อาทิตย์ที่ 6
1.. ต่อสู่เซลส์ผิวหนังด้วยการนวดตัวทุกวัน
อันนี้เข้สถานบริการนวดตัวจะดีที่สุด อย่านวดด้วยตัวเองเลยค่ะ ลำบาก

2.. ยังคงออกกำลังกายอยู่นะคะ
และอย่าลืมยกน้ำหนักด้วยเวทข้างประมาณ 1-2 กิโล สองวันต่ออาทิตย์
บริหารหน้าท้องยังคงต้องทำอยู่สม่ำเสมอ
นอนราบชันเข่ามือถือที่ยกนำหนักเอาไว้ ยกลำตัวขึ้น พร้อมกับยก
น้ำหนักไว้ด้านหน้าให้สุดแขนและเมื่อเอาตัววางนอนลง ให้ค่อยๆวาง
แขนลงช้าๆเหนือศรีษะ ทำสัก 8-15 ครั้งอาทิตย์ที่ 6 แล้ว คงต้องทำให้มัน
หนักหน่อย คิดว่าคุณๆก็คงจะชินแล้วในการซิทอัพ

ยืนตัวตรง
ยื่นขาขวาไปข้างหน้าพร้อมงอเข่า ยกน้ำหนักขึ้นโดยการ งอข้อศอกแล้วย่อตัวลง
เก็บขากลับมา ยืนไว้ในท่าแรก จากนั้นสลับมาทำเหมือนเดิมกับขาข้างซ้ายบ้าง
ท่านี้จะได้ทั้งกล้ามเนื้อขนด้านหน้า และขา

ท่าลดต้นแขน
ยืนตัวตรง มือทั้งสองข้างถือที่ยกน้ำหนักไว้
แล้วยกขึ้นเหนือศรีษะค่อยๆวางลงไปด้านหลังศรีษะ โดยให้ข้อศอก ชิดใบหูทั้ง
สองข้าง ยกขึ้น ยกลงกล้ามเนื้อบริเวณแขนด้านในจะกระชับ ไม่หย่อน ยาน

3.. อาจจะเต้นแอโรบิกหรืออกกำลังกายตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ตามวิดีโอ การบริหารร่างกายก็ได้นะคะ เลือกอันที่ดีๆหน่อยหรือไม่เช่นนั้น
ก็ไปเต้น ตามสถานบริหารร่างกาย ดิฉันว่าจะสนุกกว่า

4.. เข้าเซาน่าหรือห้องอบไอน้ำ
หลังจากนั้นก็นวดตัวซะด้วยเลย คุณๆลองทำ ตาม ตารางที่ดิฉันกำหนดให้ภายใน 6
อาทิตย์ดูสิคะ ว่าร่างกายคุณเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน
แต่การทำตามตารางต้องซื่อสัตย์ ต่อตัวเอง นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน
การออกำลังกาย การดูแลผิวพรรณ รวมไปถึงทั้งตัวตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า
ตามที่ได้บอกไว้ข้างต้น รับรองว่า เห็นผลแน่

อาทิตย์ที่ 7
1.. ออกกำลังกายอย่างมุมานะด้วยเครื่องมือการออกกำลังกาย เช่น การถีบจักรยานอยู่กับที่สม่ำเสมอ การเดินในระยะทางไกลๆ หรือการเต้นแอโรบิก

2.. จัดเตรียมนำผลไม้และน้ำผักสดไว้ดื่ม
พร้อมกับการกินวิตามิน ผู้เชี่ยวชาญของโลกเขาบอกว่า
การลดน้ำหนักที่ดีที่จะให้เห็นผลถึง 70 เปอร์เซนต์นั้นก็คือ
การดื่มน้ำผลไม่หรือน้ำผักสด เพราะจะทำให้ย่อยง่าย
และดูดซึมภายในเวลาเพียงแค่ 10-15 นาที ควรดื่มเป็นประจำทุกวัน วันละ 1
แก้ว ถ้าเยื่อก็ลองน้ำแอปเปิ้ล น้ำกล้วย น้ำมะละกอ และน้ำลูกพรุน
หรือจะทำเป็นผลไม้รวมแบบค๊อกเทลอย่างองุ่น(เป็นลูก) มะละกอ (เป็นชิ้น)
แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ แล้วใส่น้ำส้มกับน้ำมะนาว ลงไป
ก็จะทำให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น สำหรับน้ำผักสด ผสมกันระหว่าง แครอท
หัวผักกาดแดง
และแตงกวา หรือขึ้นฉ่าย ผักกาดหอม และผักโขม

3.. ออกกำลังกายในน้ำ
โดยการยืนอยู่ในน้ำ หันหน้าเข้าขอบสระ เอามือจับขอบสระไว้
แล้วเตะขาไปข้างหลังสัก 30 วินาที แล้วเปลี่ยนอีกขาหนึ่งทำเช่นนี้สัก 10
ครั้งต่อข้าง เดินในน้ำสัก 3 นาที จากด้านหนึ่งของขอบสระไปอีกด้านหนึ่ง
แล้วเหสี่ยงแขนไปด้วยพร้อมๆกัน

อาทิตย์ที่ 8
1.. ถึงเวลาของการปรับปรุงการวางท่าทาง

โดยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทาง ด้านการออกกำลังกาย ในหนึ่งครั้งต่อวัน
ยืนกางขาเล็กน้อย งอเข่าพอ ประมาณ แผ่นหลังตรง น้ำหนักอยู่ที่ส้นเท้า
ทั้งสองข้าง
หายใจออกและยืดส่วนท้องบริเวณสะดือและส่วนของกระดูกสันหลังขึ้น
แขม่วส่วนกระดูกเชิงกรานเข้า แล้วเก็บก้น โดยให้รู้สึกว่า สองแก้มก้น
ชิดสนิท แนบแน่น หายใจออกยาวๆ ทำเช่นนี้หลายๆครั้งเพื่อบริหาร กล้ามเนื้อ
บริเวณ ท้องและก้น หายใจเข้า ออกในขณะ ที่คุณหมุนหัวไหล่เป็น รูปวงกลม
และประสานมือยืดแขนขึ้นเหนือศรีษะ เป็นการยืดกล้าม
เนื้อส่วนหลังทั้งหมดหลังจากนั้นก็ยืนตรงสบายๆ เป็นการผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ
บริเวณก้นสัก 30 วินาที แล้วเริ่มทำใหม่

2.. เอ๊กเซอร์ไซด์ระบบหายใจด้วยการยืนตรงหรือนั่งเอานิ้วมือทั้งสองกดเข้าหากันให้อยู่ระดับจมูก
หายใจออกช้าๆ พร้อมกับกดนิ้วมือเข้าหากันอย่างแน่น ทิ้งไว้สัก 10 นาที
แล้วหายใจออก พร้อม ผ่อนคลาย จึงกลับมาทำใหม่สัก 10 ครั้ง

อาทิตย์ที่ 9
1.. การเหยียบ step up เป็นกิจวัตรประจำวัน
โดยถือที่ยกน้ำหนักด้วย สัก 21 ปอนด์ เริ่มต้นด้วยการก้าวยาวๆ
ก้าวขาขวาขึ้นสเต็ป เหยียดแขนซ้ายออกไปข้างหน้า
แขนขวาวงไว้ขางลำตัวแล้วสลับข้าง ทำอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 15 นาที
แล้วค่อยๆช้าลง

2.. ตรวจดูการรับประทานโปรตีนของคุณ
ควรให้มีอาหารประเภทเนื้อวัว เนื้อเป็ด เนื้อไก่ ถั่วแห้ง ไข่ และถั่วลิสง
2-3 ชนิด ต่อวัน เนื้อหรือไก่ไร ้หนัง 2-3 ออนซ์ ปลาเนื้อขาว ไม่ทอด 4-5
ออนซ์ ไข่ 2 ฟอง สุกปานกลาง เนย 11/2 ออนซ์

3.. การรักษาด้วยกระแสน้ำ
ในการอาบน้ำของแต่ละวัน ให้น้ำอุ่นกรทบ ตัวโดยเร็ว
แล้วเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นสัก 20 วินาที กลับไปเป็นน้ำอุ่นอีกสัก 1-2 นาที
จบด้วยการอาบน้ำเย็น เริ่มให้น้ำฉีดไปบนบริเวณหน้า เรื่อง
ลงไปยังบริเวณแขนและขา รวมทั้งบริเวณหน้าอกและท้อง จบด้วย ส่วนหลัง
ของคุณเพื่อเป็นการนวดตัวด้วยกระแสน้ำ แล้วเช็ดตัว ให้แห้ง
ก่อนคลานขึ้นเตียง นอนพักสัก 20 นาที เป็นการพักฟื้น

อาทิตย์ที่ 10
1.. ปรับปรุงการออกกำลังกายของคุณให้ดีขึ้น

โดยำสม่ำเสมอทุกวัน เป็นประจำแยกเท้าออกจากกันให้กว้างพอประมาณ
โดยยืนอยู่ด้าน หลังก้าวอี้ มือขวาจับพนักเก้าอี้ไว้เป็นการพยุงตัว
ใช้มือซ้ายแตะไว้ ตรงต้นคอ งอข้อศอกให้อยู่ระดับหลัง
เอียงตัวไปทางซ้ายพร้อมงอเข่า บิดตัวลงให้
ข้อศอกแตะเข่าด้านหน้า
แล้วกลับมายืนในท่าเดิม เริ่มทำใหม่
แต่ตอนนี้บิดและเอียงตัวลงให้ข้อศอกแตะเข่าขวาด้านหน้า จึงกลับไป
ทำอีกข้าง ทำข้างละ 20 ครั้งเป็นการบริหารเอว

2.. อาทิตย์นี้ลงมือทำเล็บมือและเล็บเท้า พร้อมทั้งแต้มสีสันลงไปบนเล็บซะให้สวยบาดใจไปเลย

3.. ขัดตัวด้วยเกลือ โดยเอาเกลือทะเลผสมกับน้ำมันโอลีฟนวด ไปบนตัวที่ยังชื้นอยู่แล้วค่อยล้างออก

อาทิตย์ที่ 11
1.. สำหรับสุขภาพผิวที่เปล่งปลั่งหลังจากที่เราได้ทะนุบำรุงดูแล
มาจนถึงอาทิตย์ นี้แล้ว เรามาเริ่มแต่งหน้ากันสักหน่อย จะดีกว่า
ใช้รองพื้นสีที่เป็นธรรมชาติ เข้ากับสีผิว หรือจะใช้สีแทนสักหน่อยก็ได้
แต่ถ้าไม่ชอบสีแทนก็ให้ใช้ สีขาวกว่าผิวก็ได้เช่นกัน
เพื่อเพิ่มความผุดผ่อง เป็นยองใย

2.. บางครั้งอาจจะทดลองแต่งให้เข้ากับฤดูร้อน
สิ่งจำเป็นที่สุดตัวครีมรองพื้น ควรจะมีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์
ผสมอยู่ให้มากหน่อยเพื่อทำให้ผิวคุณดู สดใส ปัดแก้มเบาๆ ปัดมาสคารา
ทาลิปมันและลิปสติก

สีอ่อนๆให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด
คุณก็จะดูเป็นคนสวยที่มีสุขภาพดี 3..ควรจะเล่นกีฬานะคะ
อาจะไปเรียนตีเทนนิส หรือไปร่วมเล่นซอฟท์บอลกับเขาในสวนสาธารณะก็ได้

อาทิตย์ที่ 12
1.. จัดเตรียมชุดว่ายน้ำ จะวันพีซหรือทูพีซก็ได้แล้วแต่ตามใจชอบ แต่อย่าลืมแว็กซ์ขนบริเวณขอบบิกินี่ด้วยล่ะ ตามร้านเสริมสวยเขา ก็มีบริการ

2.. ปกป้องแสดงแดดด้วยครีมกันแดด ใช้ครีมที่มีสาร SPF คุณสามารถมี ผิวสีแทนได้ แต่อย่าไหม้ ที่จริงแล้วก็มีครีมหลายตัวสำหรับกันแดด คุณเลือกหาเอาเองก็แล้วกัน

3.. สวยเห็นผล เอาละค่ะ ถ้าคุณทำครบตามตารางที่ว่าไว้ภายในสามเดือนแล้ว ไม่เห็นผล
ดิฉัน(คุณม้า อรนภา) ยินดีคืนเงินให้ทันที แต่ถ้าได้ผลช่วยบอกดิฉันด้วยนะคะจะยินดีเป็นที่สุด








หุ่นสวย ผิวใส ทำอย่างไร?

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://plataolek-mc-pretty.blogspot.com/2010_10_01_archive.html


หุ่นสวย ผิวใส ทำอย่างไร?

หุ่นดี หุ่นสวย


หุ่นสวยกับผิวใสย่อมเป็นของคู่กันอยู่แล้วจริงไหมค่ะคุณผู้หญิง แต่จะทำอย่างไรล่ะจึงจะมีทั้งสองอย่างควบคู่กันเพื่อเพิ่มความมั่นใจและเป็น ที่สะดุดตาของผู้ชายหรือคนรัก เรามีวิธีมาแนะนำคุณค่ะ แค่คุณยอมเสียเวลาเล็กน้อยหรือใช้ยามว่างหลังจากทำงานแล้วมาดูแลสุขภาพของ ตัวคุณเอง

หน้าท้องแบนใน 5 วินาที

สาวๆ หลายคนจะไม่มั่นใจหรือใส่เสื้อผ้ารัดรูปแล้วจะทำให้เราดูหุ่นไม่สวย เพราะไขมันที่หน้าท้องมากวนใจคุณ แต่ตอนนี้หายกังวลได้แล้วค่ะ แค่คุณยอมตื่นนอนตอนเช้าๆ แล้วนอนหงายเกร็งหน้าท้องไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง ทุกๆ วัน ประมาณ 2 สัปดาห์ หน้าท้องย้วยๆ ของคุณจะเริ่มกระชับขึ้น จนคุณรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง


ถูผิวหนังกระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่สำคัญส่วนหนึ่งในการขับถ่ายของเสีย หากเราถูผิวหนังเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองทั่วร่าง กาย อันเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องของเสียคั่งค้างอยู่ในร่างกายอย่างได้ผล จะทำให้ผิวมีเลือดฝาด ดูสวยขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลในการลดไขมันตามผิวหนังเพราะไขมันใต้ผิวหนังเกิดจากน้ำ เหลืองคั่งค้าง โปรตีน ไขมัน มาพอกพูนรวมกันอยู่

การถูผิวหนังทำได้ง่ายโดยใช้เวลาวันละ 5 นาทีก่อนอาบน้ำ มีอุปกรณ์การถูเป็นเส้นใยจากธรรมชาติ เช่น รังบวบนุ่มๆ หรือแปรงที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เริ่มจากปลายมือถูขึ้นไปถึงหัวไหล่ ส่วนลำตัวถูในทิศทางลงไปที่ส่วนเอว ส่วนขาให้ถูในทิศทางขึ้นมาหาสะโพก ให้ทำจนทั่วตัว

เป็นไงคะ... เคล็ดลับหุ่นสวยผิวใสมีเลือดฝาดง่ายไหมค่ะ ใช้เวลาเพียง 5 นาที ก็สามารถทำให้คุณสวยได้ แถมยังมีสุภาพที่ดีอีกด้วย

ที่มาจาก สสส.

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ใน ยาสีฟัน


คุณเคยกินยาสีฟันไหมครับ อืม.....หากคุณเคยกินยาสีฟัน ผมแนะนำว่า อย่าอ่านบทความต่อไปนี้จะดีกว่า
กว่าคุณจะผะอืดผะอม ผมไปเจออันดับหน้าสนใจมาว่าส่วนประกอบยาสีฟัน ส่วนใหญ่นั้นทำมาจากอะไร
และก็ได้พบว่าส่วนประกอบเกือบทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสารเคมีที่ค่อนข้างจะอันตราย
บางชนิดก็เหลือเชื่อว่ามันอยู่ในยาสีฟันด้วย ล่ะนี้คือ 10 อันดับสิ่งที่เหลือเชื่อว่ามันอยู่ในยาสีฟันที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน


10.Formaldehyde
ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือฟอร์มาลีน สารไร้สีกลิ่นแรงใช้ทำยาฆ่าเชื้อและยากันเน่า
ที่เรามักรู้จักสารนี้ในการใช้สำหรับดองศพเพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา
และทำความสะอาดห้องคนป่วย โดยฟอร์มาลีนเป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน
(นอกจากนี้ยังมี ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวด) เนื่องจากมันมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียเล็กๆ
ในช่องปาก แต่ความเข้มข้นที่ต่ำมาก แต่กระนั้นอันตรายจากฟอร์มาลีนจากยาสีฟันก็ยังคงมีอยู่คือหากกินมากเกินไป
อาจทำให้ตับและไตพังและอาจถึงตายได้ โอ้น่าสนุก ลองดูไหม?


9.Detergent
สารทำให้เกิดฟอง หรือผงซักฟอก เป็นผงที่มีลักษณะเป็นผง เม็ดเล็กๆหรือเกล็ด อัดขึ้นรูป
กึ่งแข็งกึ่งเหลว แท่ง หรือลักษณะอื่น ผงซักฟอก เป็นสารซักล้างที่ผลิตขึ้นมาใช้แทนสบู่
ในมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสารลดแรงตึงเพื่อให้เกิดฟองช่วยทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากแต่สารบางชนิดอาจมีผลทำให้เยื่อบุปากเกิดอาการแพ้และหากคุณกลืนสารนี้มากเกินไปอาจ
มีผลต่อกระเพาะอาหาร ปัจจุบันยาสีฟันส่วนมากไม่ทำให้เกิดฟองมากเหมือนเมื่อก่อน
เนื่องจากมีการใช้สารลดความตึงผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยขึ้น


8.Seaweed
สารคาราจีแนนที่อยู่ในยาสีฟันนั้นมาจากสาหร่ายทะเล สารนี้ทำให้ส่วนผสมนี้เกาะตัวกันข้นเหนียว
ทำให้เกิดความลื่นไหลและยืดขยายเป็นเจลเข้าปาก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลายชนิดนำสาหร่ายมาใส่ในยาสีฟัน
เพื่อคุณสมบัติต่างๆ เช่นสาหร่ายไดอะตอมซึ่งเป็นส่วนผสมของยาสีฟันช่วยขัดฟันให้ขาว สาหร่ายสไปรูลิน่าช่วยให้ฟันแข็งแรง


7.Peppermint Oil
น้ำมันสะระแหน่ได้มาจากการสกัดน้ำมันจากสาระแหน่โดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ
โดยน้ำมันที่ได้จากการสกัดนี้ใช้อย่างกว้างขวางในอาหาร ยา เครื่องสำอาง
ซึ่งยาสีฟันนั้นก็มีการเติมน้ำมันสกัดนี้เพื่อทำให้ มีรสหวานทำให้ยาสีฟันมีรสชาติดีขึ้น
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดกลิ่นหอมเย็น เมื่อสูดดมทำให้โล่งจมูกรู้สึกสดชื่น อีกครั้งยังช่วยฆ่าเชื้อโรค
ส่วนอันตรายจากน้ำมันสาระแหน่ก็คือทำให้ระคายเคืองผิวหนัง และชีพจรปั่นป่วนหากรับประทาน
ดังนั้นหลายยี่ห้อมักใส่ในปริมาณความเข้มข้นต่ำ


6.Paraffin
พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งกลั่นแยกออกจากน้ำมันดิบ
จุดหลอมเหลวประมาณ 47-64 องศาเซลเซียส จุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียส
ไม่ละลายในน้ำ สามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย และ มีหลายสถานะด้วยกัน เช่น แก๊ส ของเหลว ของแข็ง
โดยประโยชน์ของมันมีหลายอย่าง เช่น แบบก๊าซใช้ทำเชื้อเพลิง ของเหลวใช้เป็นยารักษาโรค
โดยสารนี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนประกอบของยาสีฟันที่มีคุณสมบัติใช้ทำเทียนไข ช่วยในการเคลือบผิว
เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยขจัดคราบสกปรก โดยหากกลืนสารนี้ไป
อาจเกิดอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนและท้องผูกอย่างรุนแรง


5.Glycerine Glycol
คุณเคยได้ยินส่วนผสมนี้อยู่ในแปลงสีฟันหรือไม่ และรู้ไหมว่ากลีเซอรีนไกลคอลนั้นคืออะไร
มีคุณสมบัติอย่างไร กลีเซอรีนไกลคอลเป็นแอลกอฮอล์ที่มีคาร์บอน 3 ตัว
มีลักษณะเป็นสารอินทรีย์ที่เป็นน้ำเหนียวไร้สีและไร้กลิ่น เป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน
(น้ำยาบ้วนปาก, การดูแลผิว, ผลิตภัณฑ์ครีมโกนหนวด, ดูแลเส้นผม, สบู่, น้ำมันหล่อลื่นของสงวน)
เพื่อไม่ให้แห้งมากเกินไปและช่วยให้เกิดการหล่อลื่น แม้ว่าสารนี้เป็นเพียงสารแต่งเติมที่ไม่มีอันตรายในยาสีฟัน
แต่มันทำให้เกิดอาการคลื่นไส้เมื่อเรากลืนยาสีฟันเข้าไป


4.Chalk
ส่วนที่เป็นสีขาวของยาสีฟันมีส่วนผสมหลักทำจากผลชอล์กบดละเอียด(แคลเซียมคาร์บอเนต)
ที่ทำมาจาก exoskeletons ซึ่งผงชอล์กนั้นเป็นส่วนประกอบของยาสีฟันมาช้านานแล้วในรูปแบบผง
(นอกจากนี้ยังมีผงอิฐ ผงถ่าน เกลือ) เนื่องจากผงชอล์กมีส่วนประกอบจากแคลเซียมและหินปูน
การสูดดมในระยะยาวจะทำให้มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เกิดการระคายเคือง หลอดลมอักเสบ



3.Titanium Dioxide
ส่วนสีขาวของยาสีฟันนั้นทำมาจากไททาเนียมไดออกไซด์(สารกันแดด)
ซึ่งสารนี้เป็นสารเก่าแก่ชนิดหนึ่งเท่าๆกับโลกของเรา และเป็นหนึ่งใน 50ชนิด
ของสารที่ผลิตมากที่สุดทั่วโลก ลักษณะโดยทั่วไปมีสีขาว นอกเหนือจากใช้เป็นส่วนประกอบของยาสีฟันแล้ว
มันยังใช้งานได้หลากหลายเนื่องจากมันไม่มีกลิ่นและมีความสามารถในการดูดซับ
ทำให้มีหลายผลิตภัณฑ์ใช้สารนี้เป็นส่วนผสม เช่น สีทาบ้านไปถึงอาหารและเครื่องสำอาง
และสารนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสีที่ปลอดภัย ไม่ก่อมะเร็ง ไม่ก่อให้เกิดกลายพันธุ์
ไม่เป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ไม่มีพิษ หากแต่เราก็ไม่ไว้ใจกับสารนี้อยู่ดี


2.Saccharin
ซัคคาริน สารให้ความหวาน หรือขัณฑสกร นั่นแหละครับ ที่บ้านเราออกมาห้ามโน้นห้ามนี้ว่าอย่าใส่ในขนมหรืออาหาร
แต่มันดันเป็นส่วนประกอบของยาสีฟันเพื่อให้เกิดความหวาน เป็นสารเคมีให้ความหวาน
ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นโดยบังเอิญ ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1879 ปัจจุบันสถานะของขัณฑสกรถือว่าปลอดภัย
แต่ผู้บริโภคหลายกลุ่มยังไม่มั่นใจนัก เพราะอดีตขัณฑสกรถูกงดใช้ไปหลายครั้ง
(อเมริกาพยายามห้ามใช้สารนี้เมื่อปี 1972) นอกจากนี้ขัณฑสกรยังมีรสชาติขมในคอหลังจากกลืนแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณที่สูง


1.Menthol
เวลาเราแปรงฟันแล้วรู้สึกเย็นในช่องปากก็เนื่องจากยาสีฟันมีเมนทอส(การบูร)มีส่วนผสมอยู่
เป็นมีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี รูปเข็ม ได้จากการสกัดน้ำมันหอมระเหยของต้นไม้บางชนิดเช่น
Mentha piperita และ Mentha arvensis หรืออาจได้จากการสังเคราะห์
นิยมใช้เป็นสารแต่งกลิ่นรสในยารับประทาน ยาอม ใช้บรรเทาอาการคัดจมูกหรือหายใจไม่สะดวก
ในยาสูดดมต่างๆ ในตำรับยาขี้ผึ้ง ครีม หรือเจลใช้ดับกลิ่น หรือทำให้รู้สึกเย็นสบาย
หากกลืนหรือกินเข้าไปปริมาณเล็กน้อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจำนวนมากอาจเป็นอันตรายได้





แปลและเพิ่มเนื้อหาจาก
http://www.toptenz.net/top-10-toothpaste-ingredients.php
“Camm yเรียบเรียง” และ “สามารถก็อปไปที่อื่นได้แต่ห้ามไปลงเว็บไซต์ Dek- D

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ขนตาสวย เหมือนตุ๊กตา

ต่อ ไป เราจะเลิกอิจฉาขนตาที่สวยเรียงเส้นของตุ๊กตาแสนสวยกันได้แล้ว เพราะเราก็มีขนตาสวยแบบนั้นได้เหมือนกัน มาดูกันดีกว่าค่ะว่าทริปคืออะไร
1. แปลงขนตา
เพราะถ้าขนตาไม่เรียงตรง จะทำให้ขนตา สวยเหมือนตุ๊กตาไม่ได้ ดังนั้นควรแปรงขน ตาก่อน

2. ปัดเบสมาสคาร่าตรงโคนขนตา
ดัดขนตาแล้วใช้เบสมาสคาร่าที่ทำให้ขน ตางอนปัดเฉพาะโคนขนตา ยกขนตาขึ้นจะได้งอน

3. เพิ่มวอลลุ่มและแยกเส้นขนตา
ปัดมาสคาร่าเพิ่มวอลลุ่ม และปัดมาสคาร่า แบบแยกเส้นขนตาด้วย ปัดจากโคนยกขึ้นด้านบน

4. แปรงขนตา
แปรงขนตา เพื่อให้ขนตาที่ติดกันหลุด ออกจากกัน และไม่ให้มาสคาร่าดูหนาเกินไป

5. แก้ปัญหาขนตาติดกันด้วยที่ดัดขนตาไฟฟ้า
ดัดขนตาด้วยที่ดัดขนตาไฟฟ้า ไม่ให้ขนตาติดกัน และทำให้ขนตางอนสวยยิ่งขึ้น

6. ใช้แหนบจัดเรียงขนตา
ใช้แหนบคีบจัดปลายขนตาเพื่อให้ขนตา ไม่ติดกัน แต่ระวังอย่าให้โดนตาล่ะ


ปลอมขนตากับขนตาปลอม

หลาย ครั้งหลายคราที่พวก เราได้เห็นบรรดานางแบบตามหน้าแม็กกาซีน หรือที่กำลังเดินแบบอยู่บนแคตวอล์ก พวกเธอไม่เพียงแต่จะใส่ชุดสวยมา โพสท่าอวดโฉม หากแต่ยังมีขนตายาวงอนงามที่พร้อมเป็นหน่วยสนับสนุนให้
ดวงตาดูสวยเด่นไม่แพ้สเต็ปเมคอัพอื่น ๆ อีกด้วยละคะ วันนี้เราก็เลยมีเคล็ดลับดี ๆ เกี่ยวกับขนตาปลอมมาฝาก

ตรวจ เช็กขนตาปลอม
ของคุณก่อนว่ามีขนาดความกว้างยาวพอดีกับแนวขนตาของคุณหรือยัง
ถ้ายังดูยาวเกินความต้องการละก็ ผู้เขียนขอแนะนำให้มองหากรรไกรเล็กๆ
มาเล็มออก แต่ว่าให้เล็มเฉพาะด้านใน (หัวตา) เท่านั้นนะคะ นั่นเป็นเพราะขนตาปลอมบางรุ่นตั้งใจจะมีลูกเล่นปล่อยยาวหรือ
กระดกปลายไว้ที่บริเวณหายตา

ขนตาปลอม

ไม่มีแต่ชนิดที่เป็นแผงขนตาเท่านั้นหรอกนะคะ แต่ยังมีรูปแบบที่เป็นช่อขนตา สำหรับไว้ติดแซมให้ดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติไปกับขนตาจริง

หยอดกาวที่โคนขนตาปลอม รอให้กาวกระจายทั่วแล้วใช้แหนบหนีบขนตาปลอมไปทาบติดที่แนวขนตา หลังจากติดทาบขนตาปลอมลงบนแนวขนตาเรียบร้อยแล้ว ขอแนะนำว่าให้คุณหลับตาอยู่อย่างนั้นสักแป๊บหนึ่ง
(นับไป 30 วินาที) รอให้กาวค่อยๆ ซึมอย่างถ้วนทั่ว จากนั้นใช้ปลายนิ้วกดเบาๆ ที่แนวขนตาจากด้านในสู่ด้านนอก เพื่อให้มั่นใจว่าขนตาปลอมติดแน่นดีแล้ว คุณสามารถใช้มาสคาร่าปัดทับหรือดัดขนตาเพิ่มได้อีก
หลังจากที่ติดขนตาปลอมลงไปแล้ว แต่ในกรณีนี้ขอให้เจาะจง
เฉพาะขนตาปลอมแบบธรรมชาติเท่านั้นนะคะ
ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับขนตาปลอมที่มีดีไซน์เก๋จัด เช่น พวกขนตาปลอมขนนก ขนตาปลอมประดับเพชร เพราะจะทำให้ขนตาปลอมล้ำดีไซน์ของคุณ
เกิดความเสียหายได้อย่างแน่นอน ดึงขนตาปลอมออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ควรรีบล้างทำความสะอาดให้ทันที อย่าปล่อยข้ามวันข้ามคืนเชียว มิเช่นนั้นกาวที่ติดอยู่กับขนตาและเชื้อแบคทีเรียในอากาศจะเกิดการสั่งสม ผลก็คือสร้างโอกาสให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองขึ้นได้
ส่วนวิธีทำความสะอาดก็ทำได้แสนง่าย เพียงแค่ใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท
อายส์เมคอัพรีมูฟเวอร์ หรือคลีนซิ่งออยล์มาเช็ดล้างทำความสะอาด

ที่ มา : www.pop.co.th

วิธี กรีด อายไลเนอร์

การ เขียนอายไลเนอร์นั้น หากเป็นการแต่งหน้าธรรมดา ก็เขียนแต่เพียงขอบตาบนก็พอ เพื่อให้ขอบตาชัดขึ้น ทำให้ดูตากลมโตขี้นค่ะ
  • ก่อนอื่นหลับตาข้างที่ต้อง การจะเขียน
  • สำหรับขอบตาบนค่อย ๆ ลากเส้นอายไลเนอร์จากหัวตา ไม่ต้องติดหัวตามากนะคะ เว้นระยะไว้นิดนึง หรือ ลากมาจากเส้นขอบขนตา มายังหางตา และเขียนให้ติดขนตาให้มากทีสุด
  • เมื่อถึงหางตาก็ตวัดอาย ไลเนอร์ขั้นนิดนึง เพื่อให้หางตาดูสวยขึ้น
  • หากมีการเลอะของอายไลเนอร์ ให้ใช้คัดเติลบัชเช็ดอายไลเนอร์ที่เลอะออกได้ค่ะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะคะ ก่อนที่อายไลเนอร์จะแห้ง
  • เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีดวงตาคู่สวยได้แล้วค่ะ

กรีดอาย ไลเนอร์แบบไหนดี


สำหรับ สาว ๆ หลาย ๆ คน คงจะมีปัญหาการกรีดอายไลเนอร์ว่าจะกรีดแบบไหนดี เพราะบางคนอาจจะเบื่อกับการกรีดอายไลเนอร์แบบธรรมดา วันนี้เลยเอารูปแบบการแต่งตามาแนะนำกันค่ะ
  • อยาก ให้ดวงตาสวยซึ้ง...ลอง กรีดอายไลเนอร์เส้นคม ๆ แล้วตวัดขางตาขึ้นเล็กน้อย แล้วปัดมาสคาร่าที่เพิ่มความยาวของขนตาและความหนาดูซิคะ
  • อยากให้ตาดูโฉบเฉี่ยว...ต้อง นี่เลยค่ะ ลากอายไลเนอร์ที่หางตาเฉียงขึ้น และกรีดอายไลเนอร์ให้หนาขึ้น หรืออาจใช้อายไลเนอร์สีสันสดใสเพื่อเพิ่มความโฉบเฉี่ยวขึ้นก็ได้ค่ะ
  • หากคุณอยากให้ดวงตาดูคมเข้ม ก็ลองกรีดอายไลเนอร์เส้นหนาขึ้นดูซิคะ จะช่วยให้ดวงตาคุณดูเด่นและดูคมเข้มขึ้นได้
  • สำหรับขอบตาล่างนั้น อาจเขียนมาซักครึ่งตาเพื่อให้ตาดูสวยขึ้นได้ค่ะ

ทริปเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสาว ๆ นะคะ สำหรับสาว ๆ ที่มีตาโตอยู่แล้วนั้น กรีดเพียงบาง ๆ ก็พอค่ะ ตาจะดูสวยซึ้งขึ้น แต่สาว ๆ ที่มีดวงดาเล็ก หรือสาวหมวยก็เขียนเป็นเส้นหนาขึ้นได้ค่ะ เพื่อให้ดวงตาดูโตขึ้น

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ติดขนตาปลอมแบบมือโปร



ติดขนตาปลอมแบบมือโปร (คู่หูเดินทาง)



ในเมื่อการปัดมาสคาร่าไม่ได้ช่วยให้ขนตาของคุณงอนยาวได้อย่างหนำใจ การติดขนตาปลอมนั้นก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับคุณสาว ๆ แต่มีเทคนิคที่อยากแนะนำ ดังนี้
1. ขนตาปลอมยาวรับรูปตา

ขนตาปลอมต้องไม่ยาวจนเกินไป และควรมีการสลับสั้นบ้างยาวบ้าง ไม่ใช่ยาวตรงเท่ากันหมด เพราะจะดูหลอกตา อาจใช้กรรไกรช่วยตัดให้ได้ระดับความยาวที่พอดีกับรูปตา เลือกขนตาปลอมที่ทำจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นดี ไม่แข็งจนสร้างความระคายเคืองให้ดวงตา

2. เลือกกาวที่มีคุณภาพ

กาวที่ใช้ควรมีสีเข้มอย่างสีเทาและดำ จะได้เนียนกลืนไปกับสีขนตา ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ติดเป็นคราบขาวเลอะเทอะ

วิธีการติดขนตาปลอม

เริ่มจากแต้มกาวที่คอตต้อนบัดแล้วนำมาทาที่โคนขนตาปลอม ทิ้งไว้สัก 30 วินาที จากนั้นติดขนตาปลอมให้ชิดกับขอบขนตาด้านในให้มากที่สุด โดยใช้ปลายของด้ามแปรงแต่งหน้าค่อย ๆ กดจนชิดขอบตา (ไม่ใช่ติดทับลงไปบนเปลือกตานะคะ) แล้วจะปัดมาสคาราทับหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าปัดมาสคาราทับลงไปแล้ว ขนตาปลอมชิ้นนั้นก็จะนำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เพราะมาสคาร่าจะไปจับตัวเป็นก้อนติดอยู่บนขนตาปลอมนั้น

วิธีแกะขนตาปลอมออก

ให้ใช้แหนบหรือนิ้วจับที่โคนขนตาปลอมแล้วค่อย ๆ ดึงเบา ๆ ออก อย่ากระชากกระตุกจนหลุดออกมาทีเดียว เพราะอาจทำให้ขนตาจริงหลุดออกมาด้วย

การนวดช่วย เพิ่มขนาดหน้าอก



ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางตักครีมประมาณข้อนิ้วของเราค่ะ (ถ้าเป็นเจลใช้นิ้วนาง ตักนิ้วเดียวก็พอ) แล้วถูมือไปมาให้ครีมมีอุณหภูมิเท่าร่างกายเรา (จะได้ซึมเข้าผิวง่ายขึ้น) ทาครีมด้วยการใช้มือขวาทาครีมรอบหน้าอกซ้าย โดยเว้นหัวนมไว้

เริ่มนวดหน้าอกก่อน โดยใช้มือขวาวางไว้ด้านบนหน้าอกซ้ายแล้วลากจากรักแร้เข้ามากลางหน้าอก จากนั้นวนมือลงด้านล่างแล้ววกกลับไปที่รักแร้อีกครั้ง ประมาณ 15 ครั้งต่อการนวดหนึ่งข้าง พยายามช้อนเต้านมขึ้นทุกครั้งที่มือวนขึ้น และพยายามโกยเนื้อส่วนใต้รักแร้กลับมาที่หน้าอกด้วยเพื่อให้ได้หน้าอกที่มี รูปทรงสวยงาม จากนั้นอย่าเพิ่งเปลี่ยนท่าค่ะ เอามือซ้ายที่มีครีมเหลืออยู่ทารอบหน้าอกขวาแบบเดียวกันแล้วนวดหน้าอกวนจาก รักแร้เข้าระหว่างอกเช่นกัน จำนวนครั้งควรจะเท่าๆ กันเพื่อให้หน้าอกสองข้างขยายเพิ่มขึ้นเท่าๆ กัน



เริ่มท่าต่อไป คือวางมือขวาบนหน้าอกซ้ายบริเวณเหนือหัวนมแล้วลูบขึ้นประมาณ 15 ครั้ง จากนั้นวางมือซ้ายบนหน้าอกขวาแล้วลูบขึ้น ให้ได้ละ 15 ครั้ง เช่นกัน



ข้อแนะนำในการนวดเพิ่มขนาดหน้าอก
พยายามนวดหน้าอก 2 ข้าง ในจำนวนครั้งที่เท่าๆ กันเพื่อให้ได้หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นเท่าๆ กัน


แต่ กรณีที่หน้าอกสองข้างไม่เท่ากันให้นวดหน้าอกข้างที่เล็กมากกว่าก่อน บางคนอาจใช้วิธีนวดหน้าอกข้างเล็กข้างเดียวจนกว่าหน้าอกข้างนั้นจะใหญ่ขึ้น จนเท่าอีกข้างก่อน แล้วค่อยนวดไปพร้อมๆ กันก็เป็นไอเดียที่ดีค่ะ

ไม่ควรนวดหน้าอกรุนแรง ออกแรงนวดพอประมาณจะได้ผลดีกว่า


ระหว่างนวดหน้าอก พยายามไม่ให้ครีม โดนหัวนมถ้าโดนให้เช็ดออก


นวดแล้วไม่ควรรีบใส่บราควรรอให้ผิวซึมซับครีมให้หมดก่อน


เพื่อให้ได้ผล 100% ควรนวดหน้าอกสม่ำเสมอทั้งเช้าและเย็น ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผลว่าหน้าอกมีขนาดเพิ่มขึ้น


ไม่ควรใช้ครีมหรือเจลเพิ่มขนาดหน้าอกปนกับบอดี้โลชั่นอื่นๆ เพราะอาจเกิดอาการแพ้ได้


ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดูแลหน้าอกนะคะ เราก็จะได้ขนาดหน้าอกเพิ่มขึ้นอย่างได้ผลและปลอดภัย





ที่มาจาก http://beauty.vwander.com


รับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารขนาด 20 แคปซูล ราคา 140 บาท
อยากทราบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกวาวเครือขาวของกิฟฟารีนสามารถเพิ่มขนาดหน้าอกได้หรือไม่

ตอบ ถ้าตอบสั้นๆ ตอบได้ว่า จริงๆครับ



ถ้า คุณถาม ต่อว่า ถ้าเพิ่มขนาดหน้าอกให้ขึ้น ได้แล้ว จะเพิ่มขนาดหน้าอกได้ใหญ่ขนาดไหน และ ถ้ารับประทานต่อไป จะเพิ่มขนาดไปเรื่อยๆหรือไม่?



ตอบ….จะเพิมขนาดหน้าอกของคุณไปเรื่อยๆครับหน้าอกใหญ่ขึ้นแค่ไหน? ใหญ่มากครับ มากแค่ไหน?



ใหญ่ มาก มาก มาก ครับ



ถาม: ถ้าพอใจในขนาดของหน้าอกแล้วและไม่ต้องการให้ขนาดใหญ่ไปกว่านี้ ทำอย่างไร?



ตอบ….หยุดรับประทานครับ



ถาม ถ้าหยุดรับประทานแล้วขนาดหน้าอกจะค่อยๆเล็กลงหรือไม่?



ตอบ เล็กลงครับ จะค่อยๆเล็กลง หลังจากหยุดรับประทานไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์





ข้อควรรู้



กาว เคลือขาว ของไทย ใน ตปท มีชื่อเสียงไม่แพ้โสมฟ้าเกาหลี ซึ่งถ้าเอ่ยถึงกาวเคลือขาวที่คุณภาพดีที่สุดในโลก ต้องกาวเคลือขาวของประเทศไทยครับ และ สรรพคุณกาวเครื่อ มีมากมายครับ คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เมื่อสนใจจริงๆอีกครับ



ข้อควรระวัง ก่อนการรับประทาน กาวเครือขาว ผู้ต้องการรับประทาน จะต้อง ทำการตรวจ สุขภาพ เสียก่อนครับ



ตรวจอะไรบ้าง >>>ตรวจ การทำงานของตับ มดลูก ตรวจหาโรคเต้านม ครับ



การรับประทานกาวเครือควรหยุดรับประทานในช่วง 7 วันสุดท้ายของแต่ละเดือน เหมือนกับการทานยาคุม เพื่อให้มดลูกได้พักและมีประจำเดือนตามปกติ สำหรับคนที่ปวดประจำเดือนบ่อยๆไม่ควรรับประทานครับ



การรับประทานไม่ควรรับประทานเกิน 50 มก ต่อวันครับ



กวาวเครือเป็นสมุนไพรคุณภาพของโลก มีข้อควรระวังแค่นี้เองจร้า


รู้จักอาการปวดประจำเดือน


ปวดประจำเดือน (หมอชาวบ้าน)

ปวดประจำเดือน หมายถึง อาการปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือน ซึ่งมักจะเป็นประจำอยู่ทุกเดือน ส่วนใหญ่จะปวดไม่มากและสามารถทำงานได้ตามปกติ ส่วนน้อยที่อาการรุนแรงจนต้องพักงาน ในรายที่ปวดรุนแรงขึ้นทุกเดือน หรือเริ่มปวดครั้งแรกหลังอายุ 35 ปี ก็อาจมีความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ


ชื่อภาษาไทย : ปวดประจำเดือน

ชื่อภาษาอังกฤษ : Dysmenorrhea

สาเหตุ

ปวดประจำเดือนแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

1.ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (primary dysmenorrhea) จะ พบในเด็กสาว ส่วนมากจะมีอาการตั้งแต่มีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายใน 3 ปี หลังมีประจำเดือนครั้งแรก จะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้อาการจะค่อย ๆ ลดลงบางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมีบุตรแล้ว ส่วนน้อยที่ยังมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน

ผู้ป่วยจะไม่พบว่ามีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ปัจจุบันเชื่อว่า มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจำเดือน และมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) ออกมามากผิดปกติซึ่งกระตุ้นให้มดลูกมีการบิดเกร็งตัว เกิดอาการปวดประจำเดือน

2.ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) มักจะมีอาการปวดครั้งแรก เมื่ออายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนมาก่อน

มักตรวจพบว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น เยื่อบุมดลูกต่างที่ (endometriosis) ซึ่งมักทำให้มีบุตรยาก เนื้องอกมดลูก ปีกมดลูกอักเสบเรื้อรังมดลูกย้อยไปทางด้านหลังมาก

เชื่อ ว่าอารมณ์มีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจำเดือนทั้ง 2 ชนิด เช่น พบว่าผู้มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย หรือมีความเครียดจะมีอาการปวดรุนแรงมากกว่าผู้ที่มีอารมณ์ดี

อาการ

จะ เริ่มมีอาการก่อนมีประจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง และเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3 วันแรกของประจำเดือน โดยมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ ที่บริเวณท้องน้อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ใจคอ หงุดหงิดร่วมด้วย

ถ้าปวดรุนแรงอาจมีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น มือ เท้าเย็นได้

การแยกโรค

ผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องน้อย อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่บังเอิญมาเกิดอาการช่วงมีประจำเดือนก็ได้ เช่น

ไส้ติ่งอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา ติดต่อกันนานกว่า 6 ชั่วโมง มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย เดินกระเทือนถูกหรือกดถูกบริเวณนั้นจะมีอาการเจ็บปวด (ซึ่งอาการนี้ จะไม่พบในอาการปวดประจำเดือน)

ปีกมดลูกอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและกดเจ็บตรงบริเวณท้องน้อย ร่วมกับมีอาการไข้สูง อาจมีอาการตกขาวร่วมด้วย (อาการปวดประจำเดือน จะไม่มีไข้)

นิ่วท่อไต ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบิดเกร็งตรงบริเวณท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง และมักมีอาการปวดร้าวลงมาที่ช่องคลอดข้างเดียวกัน (ไม่มีไข้ และกดถูกไม่เจ็บแบบเดียวกับอาการปวดประจำเดือน)

ผู้ที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนมาก่อน หากมีอาการปวดท้องน้อยที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนที่เคยเป็น เช่น ปวดรุนแรงหรือติดต่อกันนานกว่าปกติ กดถูกหรือกระเทือนถูกรู้สึกเจ็บ มีไข้ขึ้นหรือมีอาการตกขาวร่วมด้วย ก็ควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือน ซึ่งเป็นอยู่ประจำทุกเดือน โดยไม่มีไข้ กดถูกไม่เจ็บ

ในกรณีที่สงสัยว่า เป็นปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนต์ ใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง เป็นต้น

การดูแลตนเอง

1.นอนพัก ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ

2.กินยาแก้ปวด-พาราเซตามอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง

3.ควร ปรึกษาแพทย์ ถ้าปวดรุนแรง หรือกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา หรือกดถูกเจ็บ มีไข้ ตกขาว มีประจำเดือนออกมากกว่าปกติ หรือหลังแต่งงานแล้วยังมีอาการปวดประจำเดือนและมีบุตรยาก หรือสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น

การรักษา

กรณี ที่เป็นปวดประจำเดือนปฐมภูมิ แพทย์จะให้ยาบรรเทาปวด ถ้ามีอาการปวดบิดเกร็งมาก แพทย์อาจให้ยาต้านการบิดเกร็ง (แอนติสปาสโมติก) เช่น ไฮออสซีน (hyoscine)

ราย ที่ปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ หากตรวจแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ (ไม่ใช่ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ) แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาเม็ดคุมกำเนิด (กินแบบเดียวกับการใช้คุมกำเนิด คือวันละ 1 เม็ดทุกคืน เพื่อไม่ให้มีการตกไข่ จะช่วยไม่ให้ปวดได้ระยะหนึ่ง อาจให้ติดต่อกันนาน 3-4 เดือน แล้วลองหยุดยา ถ้าหากมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรให้กินต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง จนกว่าเมื่อหยุดยาแล้ว อาการปวดประจำเดือนทุเลาไป

ในรายที่ตรวจพบมีสาเหตุผิดปกติ (เป็นปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ) แพทย์ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ส่วน ในรายที่เกิดจากเยื่อบุมดลูกต่างที่อาจทำให้มีบุตรยาก หรือในรายที่เกิดจากเนื้องอกมดลูกอาจทำให้ตกเลือดมากจนเกิดภาวะซีด หรือก้อนโตมากอาจกดทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้

การดำเนินโรค

ในรายที่เป็นปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ มักจะทุเลาเมื่ออายุมากกว่า 25 ปี หรือหลังแต่งงานหรือมีบุตรแล้ว

ใน รายที่เป็นปวดประจำเดือนทุติยภูมิ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาการปวดมักจะเป็นรุนแรงขึ้นทุกเดือน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ถ้าได้รับการรักษาอาการปวดประจำเดือนก็จะหายไปได้

ความชุก

พบได้ประมาณร้อยละ 70 ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์