วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

คุณเกิดมาได้อย่างไร

คุณเกิดมาได้อย่างไร

ความรักของพ่อ



ชุดกตัญญูพ่อแม่ โดย พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา

ชุดกตัญญูพ่อแม่ โดย พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา













วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

กลูต้าไธโอน เรื่องจริงที่คุณต้องรู้ โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://blog.eduzones.com/pondplay/22675

คนน่าเลิฟ
กลูต้าไธโอนสารที่เชื่อว่าเร่งผิวขาว เรื่องจริงที่คุณต้องรู้
กลูต้าไธโอน เรื่องจริงที่คุณต้องรู้ โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล
ผู้อ่าน : 123 , 17:31:43 น. | หมวดหมู่ : วิตามินและอาหารเสริม
พิมพ์หน้านี้


ผิวสวยขาวใส เปล่งประกายเหมือนดารา คุณคงเคยผ่านตาไปกับคำกล่าวอ้างทำนองนี้มาแล้วใช่ไหมครับ เพื่อเชิญชวนก้าวสู่ประตูผิวขาวใส ที่ตามติดมาก็คือคำเชิญชวนให้ทดลองหากลูต้าไธโอนมา ใช้กินหรือฉีดเพื่อให้ได้ดังฝันนั้น แต่คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคูณรู้จักมันจริงๆ ไม่ใช่โดนหลอกให้ซื้อมากินอย่างเปลืองเงินเสียปล่าว วันนี้เราจะมาเล่าความจริงทางการแพทย์ของเจ้าสารตัวนี้ ให้คุณๆได้รับทราบ

ในร่างกายคุณมีกูลูต้าไธโอนอยู่แล้ว

คุณ คงรู้จักหมู่อาหารโปรตีนได้แก่ เนื้อสัตว์ นม อยู่แล้วใช่ไหมครับ ตอนเรียนวิทยาศาสตร์คงจำได้ว่าถ้าเปรียบโปรตีนเป็นรถไฟขบวนยาวๆก็จะมีกรดอะ มิโนเป็นโบกี้เล็กๆที่มาเชื่อมต่อกัน ถ้าจำได้แล้ว เราก็อยากจะบอกว่าเจ้าสารที่เรียกว่า กลูต้าไธโอน Glutathione นี้จริงๆแล้วมันคือโปรตีนชนิดหนึ่ง แต่เป็นอณูโปรตีนที่ไม่ยาวมากนักที่เกิดจากอะมิโน Amino Acid 3 ชนิดมาประกอบกันคือ Cysteine Glutamate และ Glycine

จะ แปลกใจไหมว่าถึงแม้นคุณไม่ซื้อหามากิน เจ้ากลูตาไธโอนสามารถสังเคราะห์โดยเซลล์ในร่างกายของเราเองจากกระบวน ปฏิกิริยาชีวเคมีในทุกเซลล์ทั่วๆไป แต่จะพบได้มากที่สุดที่ตับของเรา

ถ้าร่างกายขาดกลูตาไธโอน จะเกิดอะไรขึ้น?

จุด เริ่มต้นทางการแพทย์ เราพบว่าการขาดสารตัวนี้จะเกิดปัญหาทางสุขภาพในคนไข้หลายๆราย เช่นคนไข้ที่เป็นโรคตับเรื้อรังอยู่แล้วพอมีการลดลงของกลูตาไธโอนนี้เกิดใน เซลล์ตับ Hepatocyte จะ มีโอกาสทำให้เกิดตับไม่ทำหน้าที่ ถ้าขาดมากๆจะทำให้เกิดตับวายและเสียชีวิตได้ในที่สุด และในคนไข้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ปกติ หรือเกิดเนื้อร้าย มะเร็ง รวมทั้งโรคเอดส์ พอขาดสารกลูตาไธโอนอย่างเรื้อรัง กลับเร่งให้เกิดให้อาการโรคเหล่านี้แย่ลงไปอีก จึงมีการวิจัยศึกษาเจ้าสารตัวนี้อย่างจริงจัง

หน้าที่หลักของกลูต้าไธโอน

เราได้พบความจริงว่าร่างกายของเราสร้างสารนี้ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่

1. กำจัดพิษ Detoxification สารนี้เป็นสาร co-factor จะช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเอนไซม์ที่ชื่อว่า Glutathion-S-Transferase ใน Phase I Enzymatic Detoxification Pathway ที่ เป็นขบวนการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยมันจะไปเปลี่ยนสารพิษชนิดที่ไม่ละลายใน น้ำแต่ละลายในน้ำมันได้ดี เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกายในที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องตับของคุณไม่ให้โดนทำลายจากแอลกอฮอล์จากเครื่องดื่ม แอลกอฮอลล์ที่คุณดื่มมากเกินไป การได้รับยาพาราเซตามอลมากเกินขนาดในการรักษา Overdose สารพิษที่ผสมในบุหรี่ที่คุณสูดดมเข้าไป

2. ต่อต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant สารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นระดับเซลล์ Mitochondrial Antioxidant โดย จะทำงานร่วมกับวิตามินซีและอีไปปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนไม่ให้ เสื่อมสภาพเร็วเกินไป โดยการไปต่อต้านอนุมูลอิสระที่อาจเกิดมากและสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ

3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย Immune Enhancer โดย ไปกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายสามารถต่อต้านสิ่งแปลก ปลอมต่างๆ รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ทำให้อาการโรคติดเชื้อต่างๆหายๆได้เร็วยิ่งขึ้น

4. หน้าที่สำคัญอื่นๆ เช่นสารนี้ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA และ สังเคราะห์โปรตีนชนิดอื่นๆช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย

ทางการแพทย์เราใช้กลูต้าไธโอนเพื่อการรักษามานานแล้ว

ความจริง ในทางเภสัชวิทยาเราได้มีวิจัยเพื่อนำสารนี้มาเป็นใช้เป็นการรักษาโรค ตัวอย่างเช่น

· การสารนี้มาใช้กับรักษาโรคระบบเส้นประสาทบกพร่อง ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ

· ใช้ในการบำบัดเบื้องต้นสำหรับมะเร็งบางชนิด เช่นมะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก

· รักษาพิษจากการได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด

· ใช้เสริมควบคู่ไปกับการรักษาโรคไขมันอุดตันที่ผนังหลอดเลือด Atherosclerosis โรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary Artery Disease

· โรค เบาหวาน ปอดทำงานผิดปกติ สูญเสียการได้ยินเนื่องมาจากเสียงดังมาเกินไป ผู้ชายที่เป็นหมัน ป้องกันการได้รับสารพิษหรือบำบัดอาการที่ได้รับสารพิษให้คืนสภาพได้เร็ว มากกว่าเดิม เป็นต้น

ผลข้างเคียงและข้อควรระวังของกลูต้าไธโอน

การ รักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ โดยการรักษาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น เพื่อติดตามผลการรักษาและคอยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงของยาดังกล่าวที อาจเกิดขึ้นได้แก่

· ผิวหนังแดง

· ความดันโลหิตต่ำ

· หอบหืดเฉียบพลัน

· อาจเกิดอาการแพ้ Anaphylactic Reaction จากการปนเปื้อนหรือความไม่บริสุทธิ์

· แต่ มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่ว่า เนื่องจากกลูตาไธโอนเองมีผลไปการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งปกติแล้วเอนไซม์นี้มีหน้าที่ทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสี น้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงของการใช้สารนี้ในลักษณะนี้จึงส่งผลให้ร่างกายมีปริมาณเม็ดสีลด ลง จึงทำให้ดูเสมือนว่ามีผิวขาวยิ่งขึ้น

ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถสารนี้ได้ทั้งหมด เรามีข้อห้ามใช้และควรระวังเป็นพิเศษใน

· ผู้ที่แพ้ยาฉีดกลูตาไธโอน

· ผู้ที่อยู่ระหว่างการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ

· คนไข้มีประวัติอาการแพ้ หอบหืด

จบ ตอนแรกไปก่อนนะครับ หากคุณๆอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ สามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากเภสัชกรใจดีที่ร้านยาหรือที่โรงพยาบาลได้เลย ครับ พวกเราเภสัชกรยินดีและเต็มใจรับใช้พี่น้องครับ

แหล่งข้อมูล

· Glutathione www.pdrhealth.com

· Glutathione: New Supplement o­n the Block www.medicinenet.com

· Glutathione, www.naturalnews.com

· นพ. ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต กลูตาไธโอน กองการแพทย์ทางเลือก กท.สาธารณสุข www.dtam.moph.go.th

· นพ. สมนึก อมรสิริพาณิชย์ อันตรายจากสารฉีดตัวขาว Glutathione www.netanart.com

· พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

4 วิธีแก้เมาแบบฉับพลันด้วยตัวเอง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ City Magazine

4 วิธีแก้เมาแบบฉับพลันด้วยตัวเอง
• ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย, ลูกใต้ใบ เป็นต้น) สัก 2-3 แก้ว ก่อนนอนกินของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือ น้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้าควรอาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพรจำพวกน้ำมะนาวคั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ
• สมุนไพรแก้แฮ็ง... รางจืด แก้เมาได้ชะงัด หาก ดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอาการแฮ็งโอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าว ยิ่งดี แล้วคั้นเอา
น้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้งซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีน
• กาแฟแก้เมา ให้เอากาแฟผงชนิดใดก็ได้เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเดือด 1 แก้วใหญ่ (ห้ามใส่น้ำตาล) คนให้ละลายรอจนอุ่น ดื่มจนหมดแล้วนอนพัก อาการจะดีขึ้นใน 15 นาที
• สร่างด้วยน้ำมะนาว ใช้มะนาว 1 ลูก คั้นเอาแต่น้ำ แล้วดื่มจนหมด ประมาณ 10 นาทีคุณอาจจะอาเจียน เมื่ออาเจียนเสร็จให้นอนพักสักครู่ อาการเมาก็จะหายไป
มีให้เลือกใช้เลือกปฏิบัติกันครบเซต ตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังดื่ม เลือกเอาตามความถนัด แต่ถ้าเลี่ยงได้ ก็อยากเตือนไว้ว่า ทางที่ดีอย่าให้ต้องถึงขั้นเมาหัวราน้ำเลยนะ เพราะมันทั้งทรมานและจิตตกอย่างน่าใจหาย แถมไร้สติ
หลายคนถึงกับมองหน้าใครไม่ติด ด้วยวีรกรรมแผลงๆ เอาเป็นว่าดื่มน้อยๆ สนุกนานๆ แบบมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เพื่อรักษาอิมเมจตัวเราไว้สนุกนานๆ กับปาร์ตี้อื่นๆ ดีกว่าค่ะ

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ

ข้อมูลจาก http://guru.google.co.th

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ ' ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดย เฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วย สร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผล ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี 'โมโรอันแซตเทอเรต'
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จ ะรู้ได้
มีก้อน บวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัส สาว ะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและ เป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผล เรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลา นาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
12. มะเร็งทรวงอก
- ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัส สาว ะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมี เลือดออกปนมากับอุจจาระ ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมี อัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

สาระจากการบรรยายของหมอเจคอบ-นักธรรมชาติบำบัด

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.bloggang.com

สาระจากการบรรยายของหมอเจคอบ-นักธรรมชาติบำบัด

"ร่างกายมหัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถเยียวยาได้เอง"

หมอเจคอบ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการรักษาผู้ป่วย หมอไม่ได้จบปริญญาทางด้านการแพทย์
แต่รู้เรื่องร่างกาย...และมีประสบการณ์การรักษาทุกโรคมากว่า 20 ปี
http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=37

หนังสือ ธรรมชาติบำบัด ตามแนวทางของหมอเจคอบ http://www.suan-spirit.com/products_book_more.asp?prod_type=book&code=p-sm-0034

เวปไซต์ของหมอเจคอบ ซึ่งมีโรงพยาบาลในอินเดีย 4 แห่ง http://www.naturelifehospital.org/




ได้ไปเข้าค่ายธรรมชาติบำบัด
ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 6 ตุลาคม 2550
ที่ เขาชะเมาเฮลธ์รีสอร์ท ระยอง

จึงบันทึกสาระการบรรยายของหมอเจคอบเก็บไว้อ่าน
และแบ่งปันกับคนที่สนใจนะคะ




ทางการแพทย์ หนังสือ Text Book ของการแพทย์ ที่ใช้มาเป็นเวลา 51 ปี พิมพ์ครั้งที่ 20
- การเป็นไข้ ทำให้เกิดการฆ่าเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย
- การกดอาการด้วยยา จะยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย เช่น ยาลดไข้ ยาฆ่าเชื้อ

การทำงานของยา
อดีตเคยเป็นยา ปัจจุบันกลายเป็นยาพิษ

ที่โรงพยาบาลนวชีวันในรัฐเคราล่า ซึ่งหมอเจคอบดำเนินการอยู่ มีการใช้พาราเซตามอลด้วย
โดยการใช้พาราเซตามอล 2 เม็ด บด แล้วคลุกข้าวให้หนูกิน
ใช้เป็นยาฆ่าหนูในบริเวณโรงพยาบาล ได้ผลดี

การรักษาแนวธรรมขาติบำบัด ไม่ใช้ยาเคมี ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือ เอดส์
ไข้รากสาด ไข้เลือดออก ก็สามารถบำบัดได้

พาราเซตามอล เพิ่มความเสี่ยงต่อตับอักเสบ ไตเสีย ซึ่งจะยิ่งมีผลเสียมากขึ้นในคนที่ดื่มเหล้า
ในตำราเภสัชระบุไว้ชัดเจน...

ในหนังสือ Pill Book ระบุข้อบ่งใช้ และคำเตือนว่า
British National Formulary หรือการปฏิบัติตัวกรณีฉุกเฉิน จากการใช้ยาผิดพลาด
กรณีใช้ พาราเซตามอล 10 -15 กรัม ใน 24 ชั่วโมง ก่อให้เกิดผลร้ายต่อตับและไต
คือเซลส์ตับและไตตาย หากใช้ต่อเนื่องกัน 3 - 5 วัน คนๆนั้นจะตายได้

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
Don't Trow Stone to The Honey Bee

หากคนมีเนื้องอก ต้องพิจารณาดูสาเหตุ เช่น การดื่มโค้ก การกินยาคุม การกินเนื้อหมู
การกินอาหารรสจัด หรือ จิตตก ให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ตราบใดที่ไม่หยุดให้อาหารแก่โรค
ไม่หยุดรับยาพิษของเสียเข้าสู่ร่างกาย โรคก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น

จึงไม่ควรที่จะทำการรบกวนเนื้องอกที่เกิดขึ้น เพราะจะมีการลุกลามได้ เป็นปฏิกิริยา
เหมือน การที่เราตีผึ้งเราหวังจะเอาน้ำผึ้ง แต่ผึ้งอาจจะต่อยเราได้...

ผลเสียที่เกิดขึ้นทันทีจากการใช้ยา เรียก การแพ้ยา
"ยาทุกชนิด เป็นพิษ"

สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมาก สำหรับการอยู่ในประเทศโลกที่สาม เช่น ไทย อินเดีย
คือการที่ ยังมียา ซึ่ง WHO ห้ามใช้แล้ว แต่ถูกนำมาจำหน่าย ในประเทศด้อยพัฒนา
เช่น
- Analgin (Dipyron) หรือ Novalgin
- Cissapride เป็นยาแก้อาการ ปวดตามข้อ มีผลทำลายไตอย่างรุนแรง
- Nimesulide ยาแรงกว่า พาราเซตามอล ปกติจะสั่งให้เด็กกิน ผลข้างเคียงทำให้ไตวายอย่างเฉียบพลัน จึงสั่งให้เลิกใช้




อาหารขัดขาว 5 ชนิดที่ไม่ดี (5 White Devils)

1. น้ำตาลทรายขัดขาว : ต้องการแคลเซียมมาย่อยตัวมัน ตอนเป็นอ้อย เต็มรูป
เป็นน้ำอ้อยสด ยังมีแคลเซียมอยู่ด้วย แต่ขั้นตอนการผลิดน้ำตาลการหมักเป็น
โมลาส (กากน้ำตาล) แคลเซียมก็หายไปด้วย

2.เกลือ เป็นศัตรูกับตับและไต เกลือ 1 กรัม ดูดซึมน้ำจากเซลส์ 10 กรัม

3. นม หากจะดื่มนมต้องดื่มนมแม่เท่านั้น ถ้ามันไม่ใช่แม่ของเรา เราก็ไม่ควรดื่มนมนั้น

4. ยาแผนปัจจุบัน

5. Maida หรือ แป้งขาว เช่น แป้งสาลี แป้งอะไรก็ตามที่ขัดขาว
ผ่านขั้นตอนกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม




Headache
ปวดหัว


อาการปวดหัว คือการสื่อสารของร่างกายให้เรารับรู้
ความเจ็บปวดเป็นสารที่ส่งให้เราทราบว่า มีบางอย่างผิดปกติกับร่างกาย
เซลส์ถูกทำลาย บอบช้ำ บาดเจ็บ ร่างกายเจ็บ สั่งให้เราหยุดพัก
เพื่อป้องกัน ปกป้อง ไม่ให้เราทำสิ่งที่ทำร้ายร่างกายอีก

การมีสิว ก็มีสาเหตุ
เจ็บคอ ก็มีสาเหตุ

การปวดหัว ก็ต้องมีสาเหตุ แล้วร่างกายก็สั่งว่า ให้ปวดหัว "พักได้แล้ว"
ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์มันก็จะขึ้นว่า "System wants complete shut down"
เมือ่กินยาหรือสารพิษเข้าไป ร่างการที่อ่อนล้าก็ต้องรีบทำให้ร่างกายเป็นกลาง
โดยทำงานหนัก พราราเซตามอลทำให้การไหลเวียนแย่ลง เยื่อบุทางเดินอาหารถูกทำลาย

ให้ทดลองกดจุดที่ฐานนิ้วโป้ง กดฐานนิ้วโป้ง ถ้าเจ็บแปลว่า อาหารที่กินไปไม่ดี
ถ้าปรับการกินอาหาร 2 สัปดาห์ก็จะหายเจ็บ

Pain is come to safe your life. Be friendly with your pain.
Then, Relax, rest, be kind to your body.

เปิดก๊อกน้ำ ก้มหัวราดน้ำ 5 นาที ทำให้ระบบส่วนกลางเย็นลง
ถ้าเจ็บปวดบริเวณอื่นก็ใช้วิธีเดียวกัน

ถ้าปวดหลัง ปวดท้อง อาหารเป็นพิษ เอาผ้าชุบน้ำอุณหภูมิปกติพันไว้
ตั้งแต่เหนือสะโพกขึ้นมา ถึงใต้ชายโครง พันให้เปียกไว้ 1 ชั่วโมง แล้วเอาออก
(ยกเว้นการปวดประจำเดือน)

อาการปวดหัวจะเชื่อมโยงกับระบบย่อยอาหาร เมื่อกินอิ่มเกิน
ต้องใช้พลังงานในการย่อยอาหารมาก จึงทำให้รู้สึกง่วง และปวดหัว
เพราะร่างกายอยากพัก เพราะร่างกายเกรงว่า
เราจะหาอะไรใส่ปาก กินเข้าไปอีก ถ้าเรายังตื่นอยู่.....

อาการปวด เมื่อกินยาแก้ปวด คือ ตัดความรู้สึกเจ็บปวดออกไป
เช่น "เนื้องอกในสมอง" เรารู้สึกดึขึ้น คล้ายว่า หายปวดหัว
แต่ก้อนเนื้องอกก้ยังเจริญเติบโตอยู่ ตับกับไตจัดการกำจัดยาออกจากระบบหมดแล้ว
อาการก็จะแสดงออกมาอีก ปวดหัวอีก เราหาหมอ รับยามากิน อาการถูกข่มไว้อีก
เวลาผ่านไป ขนาดของก้อนเนื้อก็โตขึ้น.....

"การพักผ่อน" จะแก้ปัญหาได้ เพราะร่างกายมีโอกาสได้รักษาตัวเอง

ไม่มีใคร มีไมเกรน หรือเป้นเนื้องอก โดยไม่มีประวัติการกดข่ม
หรือระงับอาการปวดต่างๆ มาก่อน ก็คือการรักษาไม่ถูกวิธี เมื่อเกิดอาการเล็กๆ น้อยๆ
"You can trust your body, Life force is so special"

เมื่อปวด อาการกล้ามเนื้อจะเกร็ง และมีอุณหภูมิสูงขึ้น
พอราดน้ำ หรือเอาผ้าเปียกประคบ อุณหภูมิลดลง กล้ามเนื้อคลาย
เลือดไปหล่อเลี้ยงมากขึ้น

ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่เหมือนร่างกาย และเราเข้ามาอยู่ในร่างกายนี้
บังคับใช้ให้มันทำอะไรต่ออะไร ร่างกายเป็นธาตุ เป็นผู้รับใช้....

คุณไม่ใช่คุณเมื่อวานนี้ ไม่ใช่คุณพรุ่งนี้
ร่างกายรู้ว่า เราไม่ใช่เจ้าของร่างกาย แต่เรากลับไม่รู้
เราควรใส่ใจร่างกายและจิตใจ จะทำให้การบำบัดดีขึ้น

แต่ละครั้งทำได้ต่อเนื่อง ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
พอพักแล้ว หากมีอาการอีก ก็ทำการราดน้ำได้อีก สามารถพันหัวไปพร้อมกันได้
เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองด้วย ระหว่างที่พันที่อื่นเช่น ท้อง

อย่าพันผ้าเปียกทันที หลังรับประทานอาหาร ควรเว้นไว้ 2 ชั่วโมง แต่ถ้าฉุกเฉินก็ทำได้




ระบบการทำงานของร่างกาย

- ผนังกระเพาะอาหาร มีเมือกเคลือบอยู่ ผิวเนื้อเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร
จะมีการเปลี่ยนเซลส์ทุก 5 นาที แต่ทั้งนี้ อาหารพวกพริก ของหมักดอง
จะทำลายกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง จึงห้ามกิน เยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร
จะมีการเปลี่ยนตลอดเวลา
พอครบ 3 วัน เนื้อเยื่อทั้งหมดจะเป็นเนื้อเยื่อใหม่ เพราจึงมีกระเพาะอาหารใหม่ ทุกสัปดาห์

- เซลส์หัวใจ มีการเสื่อม และสร้างใหม่ใน 90 วัน
- เซลส์ตาย และเกิดใหม่ได้ ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้

เพราะฉะนั้น การซ่อมแซมโดยแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นการลวงโลก
หลอกลวง ไม่ยั่งยืน????

แม้แต่โครงกระดูก ก็มีการเปลี่ยนแปลงเซลส์ทุก 6 เดือน
ยกเว้นแต่ เซลส์สมอง ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย....

ร่างกายนั้น มีการทำหน้าที่ (Function)
- Function : หน้าที่ คือการทำต่อเนื่องตลอดเวลา
- Action : กิจกรรม เป็นการทำบางที บางครั้งบางคราว

อวัยวะร่างกายทุกส่วน ทำหน้าที่อย่างอุทิศตัว ร่างกายจะทำงานอย่างซื่อสัตย์ ทุ่มเท
ยกเว้น เมื่อเรารบกวน แทรกแซงการทำงานของมัน ร่างกายจะถูกทำร้าย
และเริ่มทำหน้าที่ผิดปกติ เราเองนี่แหละที่ทำร้ายร่างกาย...

สิ่งที่ร่างกายต้องการ ---- อากาศที่ดี น้ำสะอาด อาหารที่มีพลังสด

ร่างกายมีเลือด 5 - 6 ลิตร
ทางธรรมชาติบำบัด ไม่ต้องการให้ทำการตรวจเลือด
แต่ให้ใช้ความรุ้สึกว่า อาการต่างๆ ของเราเป็นอย่างไร เรามีความรู้สึกอย่างไร
หากไม่รู้สึกว่า อะไรผิดปกติ เราก็ไม่ป่วย

ให้พิจารณาดูว่า เลือดของเราบริสุทธิ์แค่ไหน ด้วยการเปรียบเทียบ ว่า
เซลส์ของเราเป็นปลาในตู้ปลา

หากน้ำเน่า ปลาก็อยู่ไม่ได้ หากไม่มีอากาศเติมเข้าไปในน้ำ ปลาก็ตาย
หากอาหารที่ใส่ลงไปในตู้ปลา เป็นพิษ ปลาก็ตายเช่นกัน.....

การสังเกตภายนอกอีกอย่างหนึ่ง ให้สังเกตผิวหนัง ตามปกติเซลส์ผิวหนังจะมีอายุ 30 วัน
หากเห็นผิวแห้งเป็นขุยขาวๆ แสดงให้เห็นถึงการตายของเซลล์ที่มากผิดปกติ
เป็นคนที่สุขภาพไม่ดี กิน หายใจ ดื่มน้ำ ที่ไม่เหมาะสม......




เอ้า พักยกอีกทีหนึ่ง

ลองพิจารณาดู...ให้ลึกซึ้ง ซะก่อนว่า

ร่างกายมหัศจรรย์เหลือเกิน
เรามีชีวิตมาก่อนร่างกาย
ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา
มันเป็นผู้รับใช้
เราต้องให้อากาศ อาหาร และน้ำดื่มที่ดีแก่มัน
มันจึงจะเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์.....

เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อ ครับผ๊ม





มาต่อกัน........

ด้วยเรื่องของ น้ำผึ้ง

น้าผึ้ง เป็นอาหารที่มาจากธรรมชาติ ไม่ได้รับการผ่านขบวนการ ดังนั้น กินได้

ไม่กินน้ำผึ้ง ทั้งก่อน-หลัง การกินอะไรร้อนๆ เข้าไป
ไม่ผสมน้ำผึ้ง กับน้ำร้อน เพราเมื่อมีความร้อน จะเกิดพิษ
ดังนั้น เวลามีอาการตัวร้อน ก็จะไม่กินน้ำผึ้งเช่นกัน

น้ำผึ้ง :
ถ้าไม่ผสมน้ำ ---> จะทำให้ท้องผูก
ถ้าผสมน้ำ ----> จะแก้ปัญหาท้องผูก

การผสมน้ำผึ้ง
ใช้น้ำเปล่าผสมได้
ใช้น้ำมะพร้าวผสมก็จะยิ่งดี

ไม่เอาเกลือผสมน้ำผึ้ง เพราะการเอารสเค็ม ผสมรสหวาน ไม่ดี

การใช้น้ำผึ้งแต่ละครั้ง ปริมาณมากที่สุด 4 ช้อนโต๊ะ

บางครั้ง ในคนที่ระดับน้ำตาลตกมากๆ หมอจะสั่งให้ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะพร้าวอ่อน




การเป็นไข้

เนื่องจากการย่อยอาหาร คืองานหนักมากของร่างกาย

ก่อนจะเป็นไข้ เราจะมีอาการบางอย่าง เตือนให้รู้ก่อน ได้แก่
"กินอาหารไม่อร่อย ปากขมๆ ไม่หิว เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว"
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ร่างกายกำลังบอกเราว่า "ร่างกายต้องการพักจากการกิน"
เพราะต้องการเอาพลังงานไปซ่อมสร้างส่วนที่สึกหรอ หรือไปจัดการกับสิ่งผิดปกติ
หากใช้เวลาและพลังงานมาย่อยอาหาร ร่างกายจะทำงานในการซ่อมแซมไม่ได้

น้ำลาย เกิดจากเลือดแปลงมาในทันที ที่ต่อมน้ำลาย
หากเรากินจุกจิก ต่อมน้ำลายจะทำงานไม่ทัน ผลิตน้ำลายมาย่อยไม่ทันการ

Eating as a real meditation
ให้การกินเป็นการฝึกสมาธิ
อาหารที่กินแต่ละอย่างต้องการน้ำย่อยแต่ละชนิด
น้ำลายมีหลายชนิด เกิดจากรสชาติที่สัมผัสที่ลิ้น
เพื่อส่งสารไปต่อมน้ำลายเพื่อให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำย่อยถูกชนิด

อาหารรสเผ็ด : ทดลอง ---> เอาพริกตำมาถูในมือ นำมาป้ายตา ป้ายจมูก
ความรู้สึกนี้ ก็คือความรู้สึกเดียวกันกับที่กระเพราะอาหารของเรารู้สึก

ระบบย่อยไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการกินตลอด 365 วัน
ทุกศาสนาจึงบังคับอย่างจริงจัง ให้มีการอด......

Fasting : การอดอาหาร
คำว่า อดอาหาร ไม่เหมือนคำว่า ขาดอาหาร

การขาดอาหาร (Starving) ทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนแอลง
การอดอาหาร (Fasting) ทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งขึ้น

การมีความคิดเชิงบวก ต่อการอดอาหาร จะทำให้มีพลังใจ
จากการตัดสินใจด้วยตนเอง โดยการอดอาหารและตั้งใจภาวนา ให้รู้สึกกับปัจจุบัน

แต่หากอยู่ในสภาวะจิตใจแย่ ไม่ควรทำการอดอาหาร

การอด 3 วัน ควรมีผู้ดูแลที่มีความชำนาญด้านธรรมชาติบำบัด
- 2 วันแรก อาจจแสบท้อง เพราะมีกรด
การเกิดกรดปริมาณมากในกระเพาะอาหาร ให้ดื่มน้ำบ้าง แต่ไม่ใช่ดื่มเต็มท้อง

- วันที่ 3 อาจจะอาเจียนออกมา หรือเข้าห้องน้ำบ่อย
อาจจะแสบคันเวลาฉี่ สีของฉี่จะเหลืองหรือเข้มมาก

- วันที่ 4 - 5 จะดีขึ้น

ใน 2-3 วันแรก จะมีเมือกเหนียวๆ ในปาก เมื่อผ่าน 3 วันไปแล้วจะเป็นปกติ
นี่คือวิธีที่ร่างกายขับของเสีย ทุกวิถีทาง

การหลั่งกรด คือการจัดการร่างกาย นี่คือการจัดการ ซีสต์/มะเร็ง

การอดอาหาร
ให้เริ่มแบบง่ายๆ ก่อน
สัปดาห์แรก -----> กินผลไม้ 1 วัน
สัปดาห์ต่อไป ----> ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำมะพร้าว 1 วัน
สัปดาห์ต่อไป ----> จิบแต่น้ำเปล่า (อุณหภูมิห้อง)

ให้ทำการฝึก Yoga ภาวนา (Meditation) อย่าหักโหม
ให้ทำการ Detox คือการสวนลำไส้ด้วยน้ำเปล่า 300 ซีซี
ราดน้ำโพกหัวด้วย ระหว่างอดทำงานได้ปกติ

หากกำลังท้องหรือให้นมลูก ไม่ควรอดอาหาร แต่กินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ทั้งวันได้

คนป่วยที่อาการหนัก หรือบางโรค ; เช่น หอบหืด ต้องระวัง
เพราะร่างกายจะผลิตเมือกมากเกินไป อาจจะตายได้
จึงต้องระมัดระวังเมื่ออดอาหาร ให้มีผู้ดูแลที่มีความชำนาญ

2 ชั่วโมง หลังกินข้าว ไม่ควรอาบน้ำ
ครึ่งชั่วโมง หลังกินผลไม้ ไม่ควรอาบน้ำ...




หากมีอาการแน่นหน้าอก
ให้ เอาผ้าชุบน้ำร้อน วางประคบหน้าอก 1 นาที
สลับกับประคบน้ำเย็นอุณหภูมิปกติ 2 นาที ทำสลับกันให้ครบ 20 นาที

การดื่มน้ำ : ดื่มตามที่ร่างกายต้องการ
ถ้ากระหายน้ำ ให้ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ โดยการจิบทีละน้อย อมไว้ในปากสักครู่
เพราะน้ำลาย ก็ทำการย่อยน้ำเปล่าด้วยเหมือนกัน

อาการจากการอด
เช่น
- ปวดเมื่อยตามตัว จุดไหนที่มีปัญหาอาการปวดเมื่อยจะไปเกิดที่จุดนั้น
- เวียนหัว หรือปวดหัว ให้ราดน้ำจนดีขึ้น พันหัว 1 ชั่วโมง ทำหัวเปียกประมาณ 4 ครั้งต่อวัน

ถ้ามีไข้ : ให้ทำการอดได้เลย : โดยจิบน้ำเพียงเล็กน้อย ห้ามโดนน้ำ คือไม่อาบน้ำ
ไม่เช็ดตัว ไม่ราดน้ำที่หัว (ยกเว้น ถ้าปวดหัวมาก ร่วมกับการเป็นไข้ จึงจะราดน้ำ)




เรื่องของยา....
ขบวนการค้ายา...ลวงโลก?


เมื่อจิตใจดี ร่างกายก็ดี เมื่อร่างกายดี จิตใจก็ดี
ให้ดูแลเซลส์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของเราให้ดี
เพราะไม่มีการรักษาอย่างอื่นใดเลย ที่จะรักษาเราได้
ยกเว้นร่างกายของเราเอง

การรักษาของโรงพยาบาล การแพทย์ เภสัชกร ร้านขายยา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของธุรกิจ

Cells:
ร่างกายต้องการวิตามิน แต่ไม่ได้ต้องการทุกวัน
หมอจะไม่บอกความจริงเรื่องนี้แก่เรา หมอจึงให้อาหารเสริม วิตามินทุกวัน

สิ่งที่ร่างกายรู้จัก คือ สารอาหารจากผลไม้ จากผัก จากข้าว ร่างการรู้จัก
ร่างกายจะสร้างคุณค่าทางอาหาร โดยแปลงเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ
แล้วนำกลับไปใช้ใหม่

ตัวอย่าง หากเทียบร่างกายเป็น เครื่องปั่น Blender เมื่อเราได้ยินเสียงผิดปกติ
เราก็จะหยุดการใช้งาน เพราะหากเราใช้งานมันต่อไป มันก็จะพังจนซ่อมไม่ได้
เหมือนกันกับร่างกาย หากเกิดสิ่งผิดปกติ เราต้องหยุดใช้มันก่อน
ให้พักผ่อนซะก่อน ที่มันจะแย่ไปกว่าเดิม

- ร่างกายซ่อมสร้างตัวคุณทุกนาที และทุกๆ นาที คุณไม่ใช่คนเดิม

- เราไม่จำเป็นต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะมีความจริงอีกข้อ
ที่บุคคลากรทางการแพทย์ไม่บอกเรา คือ ก่อนเซลล์จะตายไปเป็นซาก
เซลล์จะส่งสารอาหารคืนแก่ร่างกาย....

-ไม่มียาใดๆ เลยที่สามารถรักษาโรคได้
เพราะการทำงานของยา เป็นการระงับอาการ หรือกดข่มอาการไว้
และจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ที่ดี และไม่ดี (ผลข้างเคียง) แต่อย่างไรก็ตาม
การใช้ยา ไม่มีทางสามารถรักษาโรคให้หายขาด หรือทำให้สุขภาพดีได้เลย....




Doctor : The Agent of Devil
แพทย์ ตัวแทนของปิศาจ???


Health is your desire. When you desire to be healthy, you will be healthy.

เด็กธรรมชาติ : ในอินเดีย มีเด็กธรรมชาติจำนวนมาก โดยให้แม่กินผลไม้
เป็นอาหารเช้า กลางวันกินข้าวและผัก ตอนเย็นกินผลไม้เป็นอาหาร ทำให้คลอดง่าย
จะปวดท้องคลอด แค่ 5 นาที

ให้เป็นมิตรกับท้อง
ไม่ใช่เป็นมิตรกับลิ้น ไม่ต้องไปเอาใจลิ้น เพื่อให้รับรสชาติความอร่อยเป็นหลัก
เป้าหมายสูงสุดของการกิน คือการให้อาหารที่ดีแก่เซลล์
ให้เป็นมิตร และเอาใจเซลล์ในร่างกายของเรา

การทำงานของร่างกาย
เซลล์ได้รับสารอาหาร (Nutrients) อากาศ (O2) และน้ำ (H2O)
เซลล์ปรุงอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน เกิดความร้อน เหลือเป็น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
และของเสียที่เป็นพิษ ไปผ่านตับ ไต กำจัดออกจากร่างกายทาง อึ และฉี่

ถ้าเซลล์แข็งแรง จะต้องมีการขจัดของเสียที่สมบูรณ์แบบ
โดยผลิตของเสียปริมาณน้อย นั่นคือ วัตถุดิบต้องดีแต่แรก มีปริมาณสิ่งที่เป็นพิษต่ำ




อาการหวัด

อาการน้ำมูกไหล ไม่ควรเก็บน้ำมูกไว้ในร่างกายเรา

การกินยา
- มูกในคอ ---> ทำให้คออักเสบ
- มูกในโพรงจมูก ----> เกิดไซนัส ไมเกรน
- มูกในกระเพราะอาหาร ---> เกิดกรด เป็นโรคกระเพาะ

หากมูกไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในเนื้อเยื่อที่ใดที่หนึ่ง เช่น เต้านม รังไข่ มดลูก
อวัยวะใดที่ไม่ค่อยสำคัญ หรือไม่ได้ใช้งาน จะถูกแปลงเป็นที่เก็บขยะพิษ
เพื่อรักษาอวัยวะสำคัญเอาไว้ เช่น เนื้องอกเต้านม เนื้องอกมดลูก เนื้องอกในรังไข่

การสะสมจะสะสมมามาก 5 ปี 10 ปี 15 ปี
มูกและเมือก (Mucus) มีในตัวเรา เพื่อปกป้องร่างกาย ปกป้องอวัยวะ
เมื่อกินพิษต่างๆ อาหารรสจัด ทำให้ร่างกายสร้างมูก เมือกมากขึ้น

การเป็นหวัดเกิดขึ้น เพื่อกำจัดมูกเมือก
สิ่งที่ร่างกายต้องการกำจัดให้ออกมา ด้วยวิธีต่างๆ ได้แก่
- ไอ : ทำความสะอาดท่ออาหาร
- จาม : ทำความสะอาดปอด : มูกเมือกในปอดทำให้เกิดหอบหืด หลอดลมอักเสบ
- น้ำมูก : กำจัดพิษ ที่สะสมอยู่ในโพรงจมูก ป้องกันไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
- มูกเมือก : กำจัดพิษ ป้องกันกระเพาะอาหาร

สาเหตุหลักของการเกิดโรค คือ ของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ สะสมอยู่ภายใน

ปอดทำงานไม่เต็มที่ กระเพาะทำงานไม่เต็มที่ สมองทำงานไม่เต็มที่ ---> รู้สึกไม่สบาย
สาเหตุมีอย่างเดียว เพราะฉะนั้น การบำบัดทำได้ด้วยวิธีเดียว "ธรรมชาติบำบัด"
จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก..........




ร่างกายมีอยู่ และรักษาตัวเองได้

มันจะรักษาตัวเอง และดีอยู่ได้ เมื่อขจัดของเสียได้
ถ้าช่องทางขับพิษ หรือขบวนการขับพิษถูกรบกวน
เซลล์จะมีสารพิษทำให้เหนื่อยง่าย เมื่อเซลล์อ่อนแอลง จะเป็นเวลาเริ่มเกิดโรค

การสังเกตตัวเอง หากมีสุขภาพดี
เมื่อนอนหลับ ก่อน 4 ทุ่ม ตื่นเช้ามา ควรสดชื่นทั้งวัน
แต่ถ้าง่วงหงาวหาวนอน ระหว่างวัน แปลว่า เริ่มป่วย และตาย




การขับพิษ

การขับพิษปกติ มี 5 ช่องทาง ได้แก่
1. เหงื่อ
2. ฉี่
3. อึ
4. การหายใจออก
5. ประจำเดือน
เป็นโปรแกรมการทำความสะอาดปกติของร่างกาย

ให้ตรวจดูว่า ในร่างกายของเรา ที่ผ่านมาสะสมอะไรเอาไว้บ้าง
และการขับพิษทำได้ดีหรือยัง
สังเกตอาการว่า :
- เหงื่อออกเป็นปกติหรือไม่
- หายใจได้ดีหรือไม่ : หายใจให้ยาว เพื่อให้เพียงพอต่อเซลล์ 100 ล้านล้านเซลล์
เมือหายใจให้เต็มปอด 100% ก็จะมีสุขภาพดี ปกติคนเราทั่วไป หายใจแค่ 20%
และให้หายใจออกยาว เพื่อกำจัดพิษด้วยการหายใจ

ร่างกายออกแบบมายอดเยี่ยม มหัศจรรย์
ออกแบบมา 2 ข้างแยกกัน หากข้างใดข้างหนึ่งทำงานไม่ได้
ข้างที่เหลือจะทำงานแทน เช่น ปอด ตา ไต

ถ้ามีการขับพิษผิดปกติ ร่างกายจึงออกแบบการขับพิษฉุกเฉิน
(Emergencies Cleansing Program) หรือการขับพิษแบบพิเศษ
ได้แก่
- การเป็นหวัด
- ท้องเสีย
- อาเจียน
- เป็นไข้

เมื่อมีไข้ :
- ให้อดอาหารทันที จิบน้ำนิดหน่อย ลงไปนอน ให้เป็นสุขและรื่นรมย์กับการเป็นไข้
ใช้เวลา 3 - 5 วัน ถอยจากการอด เริ่มจากน้ำผลไม้ แล้วกินผลไม้ทั้งวัน
จากนั้นจึงกินปกติ (เช้าเย็นผลไม้ กลางวันกินข้าวกล้องกับผักสดผักลวก)

จงเชื่อฟังร่างกายของคุณ ให้ขับพิษออกไป ไม่กินอาหารแสลง
ไม่กินเข้าไป หากกำลังมีการขับของเสีย ต้องขับพิษออกมาให้หมด
เมื่อมีการขับพิษพิเศษ จึงไม่ควรกินอาหาร ให้ร่างกายได้เยียวยาตามกระบวนการ
มหัศจรรย์ที่ร่างกายมีอยู่

เมื่อท้องเสีย :ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำมะพร้าว (บริสุทธิ์เชื่อใจได้มากที่สุด)
เพราะร่างกายขาดน้ำ

ถ้าอาเจียน :ให้ดื่มน้ำผลไม้เจือจาง หรือน้ำมะพร้าว ปริมาณมาก

ถ้าเป็นไข้ : ให้งดกิน งดดื่มน้ำปริมาณมาก จิบน้ำเพียงเล้กน้อย
เนื่องจากการเป็นไข้ คือช่วงเวลาที่รอคอย เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่ร่างกายจะได้เยียวยา
หากดื่มน้ำมากๆ จะทำให้ไข้ลด.......เสียโอกาสเยียวยา

ถ้ามีอาการไข้ และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียน ให้ดูแลแบบเป็นไข้ เป็นหลัก




หากกินยา
เพื่อหยุด หรือระงับอาการ ที่ร่างกายกำลังขับพิษพิเศษ

สุดท้ายจะเกิดโรค หากเราทำสิ่งเหล่านี้:
- ทำงานหนัก
- กินยา
- หยุดการขับพิษ ด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม
- กินอาหาร

คนที่ทำการปฏิบัติตามแนวทางธรรมชาติบำบัด จึงไม่ป่วย
ทั้งๆ ที่สภาพแวดล้อมอย่างเดียวกัน ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่
การจราจรแออัด ผู้คนเต็มเมือง.......
มีความลับอยู่ 2 ข้อ
1. เราพยายามดูแลเอาใจใส่ ช่องทางการขับพิษแบบปกติ
2. ถ้ามีการขับพิษแบบพิเศษ เราไม่ขัดขวางการทำงานของร่างกาย

ปกติแพทย์ จะตรวจ ; หากอาการหนักที่โรงพยาบาลจะไม่ให้ญาติเข้ามาดูคนป่วย
มีหน้าที่แค่เพียงจ่ายเงิน และคอยรับโลงศพ ส่วนที่โรงพยาบาลนวชีวัน
หมอจะบังคับให้ญาติอยู่กับผู้ป่วยด้วย

Don't fight with your body. Do no harm.

กรณีตัวอย่าง คนที่เข้าคอร์สพร้อมกันที่เขาชะเมาฯ ได้แบ่งปันประสบการณ์

คุณอาปรีชา เป็นก้อนเนื้องอกที่แขน ประมาณไข่ไก่ แพทย์บอกว่า เป็นวุ้น
น่าจะมีสาเหตุมาจาก การกินอาหาร ประเภทไข่ดาว ผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน
เป็นประจำ น่าจะขับพิษออกไม่ทัน จึงเอามากองสะสมเป็นกองขยะพิษตรงแขน...

พักยกที่ 2
เหลือ อีก หลายหัวข้อ ค่อยมาบันทึกต่อค่ะ

Create Date : 26 ตุลาคม 2550

Last Update : 26 ตุลาคม 2550 11:35:05 น.



สูตรอาหารสุขภาพ ลดความอ้วน

จดหมายถึงเพื่อน.....
ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2550


สวัสดีค่ะ ตุ๊,

จำได้ไหมที่คุณส่งสูตรอาหารลดน้ำหนักมาให้ฉันลองปรับแก้ให้
แต่ในที่สุด ฉันก็ไม่ได้ปรับแก้กลับไปให้
เพราะว่า เห็นสูตร แล้ว ....อึ้ง.... ไม่รู้จะปรับยังไงนั่นเอง

ที่ อึ้ง... เพราะอาหารแต่ละอย่างมันไม่ควรจะกินเท่าไหร่
เช่น กาแฟ น้าตาลอีควล ขนมปังแซนด์วิช ไข่ นม แฮม
ถึงแม้จะจำกัดปริมาณก็ตามนะ.......

เอาสูตรแท้ๆ กันซะทีมั้ย
สำหรับคนที่มี น้ำตาลในเลือดสูง เกือบเป็นเบาหวาน
น้ำหนักมาก ซึ่งจะรู้ได้จากการที่ร่างกาย ส่วนขา
เข่ารับน้ำหนักมากจนปวด เจ็บเข่า แบบเดียวกับที่คุณเล่าอาการของคุณ
มาให้ฟัง ว่า สัญญาณอันตรายเริ่มขึ้นแล้ว

ความคล่องตัวลดลง ความดันโลหิตบางครั้งจะสูงไปด้วย
หลายคน กินยาป้องกันเบาหวาน...หรือการเพิ่มอินซูลิน
ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้แย่ลงไปกันใหญ่
เพราะขั้นตอนต่อไป คือปัญหาการเป็นโรคไต ตามมา
ท้ายที่สุด อาจจะไตวาย ไปฟอกไต วันเว้นวัน......
ทีนี้ ร้างกายก็จะฟื้นฟูตัวเองไม่ได้......

ธรรมชาติบำบัด....
ร่างกายของคน สามารถบำบัดเยียวยา และสร้างสมดุลได้
เมื่อเราเปิดโอกาสให้ร่างกายและจิตใจ ได้เยียวยา รักษาตัวเอง
สิ่งแรก คือ การกินอาหารที่มีพลังสด ได้แก่ ผลไม้สด ผักสด
กินแทนอาหารเป็นมื้อ
(ผลไม้ ยกเว้น ทุเรียน และลำใย)

อาหารส่วนใหญ่ที่เรากินกันเข้าไป ร่างกายจะเป็นมันเป็นพิษ
และต้องการขับพิษออกไป ได้แก่ ข้าวขาว น้ำตาลทรายขาว
แป้งขาวทุกชนิดที่นำมาทำขนมเบเกอรี่ และขนมปังแซนด์วิชขาวทั้งหลาย
กาแฟ ชา ยารักษาโรคทุกชนิด อาหารเสริมทุกชนิด วิตามินทุกชนิด
ของหมักดอง แอลกอฮอล์

เนื่องจากไม่มีพลังชีวิต และยังถูกแยกส่วน (Extract)
สำหรับการกินเนื้อสัตว์ (ไม่เว้นทั้งกุ้ง ปลา) หากร่างกายอยู่ในสภาพปกติ
อาจจะกำจัดพิษต่างๆ ได้ดี
แต่เมื่อป่วยจะป่วยและอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว

กินอาหารที่ผ่านความร้อนได้บ้าง แต่ให้เป็นอาหารที่ได้จากผักที่สด
ปรุงสุกไว้ไม่เกิน 3 ชั้วโมง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นพิษต่อร่างกาย

อาหารสำหรับคนไม่ป่วย ทางธรรมชาติบำบัดคือ
- ตื่นขึ้นมา ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ที่เพิ่งเฉาะใหม่ๆ ดื่มจากลูกมะพร้าว 1 ลูก
(เนื้อมะพร้าว เก็บไว้ทำอาหาร)
- มื้อเช้า กินผลไม้ อะไรก็ได้ 1-2 ชนิด ถ้ารสชาติไปทางหวานก็หวานทางเดียว
ถ้ารสชาติไปทางเปรี้ยวก็เปรี้ยวในมื้อนั้น
- มื้อกลางวัน กินข้าวกล้อง (ถ้าเป็นเบาหวาน กินข้าวนิดหน่อยพอ) และยำผักสด
หรือ กับข้าวที่ไม่ใช้น้ำมัน
- ตอนบ่าย 4 โมง ช่วงท้องว่าง ดื่มน้ำมะพร้าว หรือน้ำผลไม้คั้นสด
- มื้อเย็น กินผลไม้ อีกมื้อหนึ่ง


สำหรับคนที่ป่วย
- ให้กินผลไม้เป็นอาหาร 3 มื้อ
- ถ้าน้ำตาลในเลือดสูง อาจจะมีผักสดยำรสไม่จัด สลับบ้างในบางมื้อ
- จากนั้น ให้สังเกตุอาการตัวเอง และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

การกินผลไม้เป็นอาหารหลัก ตอนแรกน้ำตาลอาจจะสูงขึ้นบ้าง
แต่ไม่มีผลต่อสุขภาพ เพราะเป็นน้ำตาลที่ได้จากผลไม้สด
ซึ่งไม่ผ่านขบวนการใดๆ (พวกผลไม้กระป๋อง กินไม่ได้นะคะ)
แต่ยังไงถ้าน้ำตาลในเลือดสูงมากๆ อยู่แล้ว
จะเลือกกินแต่ผลไม้ที่ไม่หวานจัด อาจจะสบายใจกว่า...


ของฉัน
ลองกินผลไม้ 3 มื้อ เป็นจำนวน 10 วันแล้ว น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แต่พยายามกินกล้วยหอม กล้วยน้ำว้าเยอะๆ เพราะไม่อยากผอม....
ช่วงนี้ ฉันงดกินวิตามินก่อน ซึ่งพบว่า ฉี่ออกมามีกลิ่นยา...
มันเป็นพิษที่ค้างอยู่ในตัว
ก็คงจากเคมีบำบัด และวิตามินที่กินมาก่อนหน้านี้

น้องสาวของฉัน เคยสูบบุหรี่ พอกินผลไม้ 3 มื้อ
ปากเขาเหม็นมากๆ อยู่หลายวัน ... นั่นคือ การขจัดพิษ

บางครั้ง เป็นวันหยุด เราจะอดอาหารที่เคี้ยว
คือ กินน้ำผลไม้ หรือน้ำมะพร้าว ทั้ง 3 มื้อ 1 วัน
แล้ววันต่อไป ดื่มน้ำเปล่า (ไม่ร้อน ไม่เย็น) ตลอดวัน
ในปริมาณไม่มากนัก

หากเรามีพิษในตัวมากๆ ก็จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
เกิดอาการตัวร้อน อาการซ่านพิษเกิดขึ้น
ร่างกายเริ่มมีพลังในการเยียวยาตัวเอง
เพราะเราไม่ได้เอาภาระให้ร่างกายเสียพลังงานในการย่อยอาหาร
ซึ่งเป็นภาระที่หนักที่สุดของร่างกาย

หากมีอาการตัวร้อน ให้ดีใจมากๆ...เป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมให้ร่างกาย
ได้ซ่อมแซมตัวเอง
อาจจะหนาวสั่น ไม่เป็นไร นอนหายใจเข้า-ออก
ทำตัวสบายๆ รื่นรมย์กับอาการไข้...

ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่อาบน้ำ สระผม คือไม่ให้ร่างกายโดนน้ำ
หากหิวน้ำ ให้จิบน้ำนิดหน่อย แล้วปล่อยให้ร่างกายเป็นไข้ต่อไป

หากระหว่างเป็นไข้ เกิดมีอาการปวดหัวมาก จนทนไม่ได้
วิธีการจัดการ คือ เอาน้ำประปาอุณหภูมิปกติ ราดหัว
ให้น้ำไหลทิ้งไป ระบายพิษ
จนกระทั่งหายปวดหัว ทำได้ 5 - 30 นาที เลยแล้วแต่อาการ
เพราะว่า พิษมันขึ้นหัว...มันถึงปวดหัว
แล้วเอาผ้าชุบน้ำ โพกหัวไว้ต่อไป ให้เปียกไว้ ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ถ้าเกิดปวดอีก ค่อยทำอีก ให้ระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 1 ชั่วโมง
ระหว่างราดหัว หรือโพกหัว พยายามอย่าให้ส่วนอื่นของร่างกายเปียก

อย่าลืม!!! ถ้าไม่ปวดหัว ในช่วงที่ตัวร้อนจี๋เป็นไข้ อย่าโดนน้ำ
อย่าเช็ดตัว......เพราะไข้จะลด แล้วร่างกายก็จะไม่ได้ซ่อมตัวเอง..

คุณจะพบว่าชีวิตง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องการปรุงอาหาร
ซื้อผลไม้ตามฤดูมา แล้วก็ล้างสะอาดๆ ปอกกินทันที
อย่าปอกทิ้งไว้...พลังชีวิตมันจะหายไปหมด....

มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เจอกันที่คอร์สธรรมชาติบำบัด เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
เขาตัวโตเป็นนักกีฬา เขาไม่ได้ป่วยอะไรมาก เป็นแค่ภูมิแพ้
เจอฝุ่น เกสรดอกไม้ อะไรเขาก็จาม น้ำมูกไหล มีญาติกันชวนมาพักผ่อนเข้าคอร์ส
เขาก็มาด้วย ปรากฏว่า ทดลอง ล้างคอ จมูก ตา สูดไอใบกะเพรา
แล้วก็งดกินยาแก้แพ้ที่เดิมต้องกินทุกเช้า...
เขาเลือกที่จะลองกินผลไม้เป็นอาหาร 3 มื้อ วันที่ 3 ที่เข้าคอร์ส
น้ำมูกไหลตลอดทั้งวัน เขาก็ทนเอา ไม่กินยา
พอวันที 4 น้ำมูกหยุดไหล ผ่านการเข้าคอร์สมา 10 กว่าวัน
เขากินผลไม้เป็นอาหาร วันละ 2 มื้อบ้าง 3 มื้อบ้าง
ปรากฏว่า ไม่มีอาการจามอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่กินยา
แล้วก็ทดลองไปออกรอบตีกอล์ฟ เขาแจ้งผลมาว่า มีพลังเหมือนเดิม...
ทั้งๆ ที่กินเพียงผลไม้เป็นอาหาร

คนนี้อ่ะฉันก็ขำเขา เพราะตอนมา ไม่เคยเรียนรู้ธรรมชาติบำบัดมาก่อน
สุดท้าย กลับนำไปทดลองปฏิบัติแล้วได้ผลดีมากๆ

หมอบอกว่า การเป็นภูมิแพ้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก
เพราะว่า เราสะสมพิษไว้มาก ให้ดู stock report ของตัวเอง
ว่า ที่ผ่านมาหลายสิบปี เรากินอะไรที่เข้าข่ายเป็นพิษต่อร่างกายบ้าง???

ส่วนธรรมชาติบำบัดองค์รวมอื่นๆ ก็คงพอรู้กันอยู่แล้ว
คือการฝึกโยคะ ถ้าหากไม่มีเวลา ก็ฝึกปราณยามะ การหายใจ
อย่างเดียวก็ได้ผลแล้ว
ไม่ต้องฝึกอาสนะที่อาจเห็นว่ายากๆ ก็ได้

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ การตากแดด รับพลังธรรมชาติ
จากแสงแดดเช้า - เย็น
สูดเอาอากาศจากภายนอกห้องแอร์ ซึ่งมีพลังชีวิต
ในห้องแอร์มีแต่อากาศ ขาดพลังชีวิต...

นอนแต่หัวค่ำ ร่างกายเราซ่อมแซมตัวเองทุกวัน
ช่วง สามทุ่มครึ่ง ถึงเที่ยงคืน เท่านั้น
มันจึงเป็นเวลาทอง อย่ามัวแต่ดูละครน้ำเน่า...อิอิ

ถ้าเริ่มฝึกสมาธิภาวนะ ก็ทำไปตามที่ถูกจริต คือแบบที่ชอบน่ะ
ฝึกแต่เช้า ยิ่งดี

ทดลองดู แล้วมาดูผลกัน

อ้อ...ถ้าเผื่อมีเพื่อนๆ อยากล้างพิษ ก็ใช้วิธีนี้ได้
เทคนิคที่ไม่ให้ผอมมากนัก ก็อย่างที่ว่าไปแล้ว
กินกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า มากหน่อย ก็พอช่วยพยุงไว้ได้ สัก 1 กิโลกรัม...

Create Date : 17 ตุลาคม 2550

Last Update : 17 ตุลาคม 2550 15:56:46 น.



ช็อคโกแลตซีสต์ หายขาดได้จริงหรือ??

โรคนี้ ฮิตค่ะ
พนักงานในบริษัทต่างๆ ลาป่วย ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลกันเป็นเรื่องปกติ
ด้วยการเป็นช็อคโกแลตซีส
ซึ่งหมอที่โรงพยาบาลก็จะบอกว่า "มันง่ายมาก ผ่าตัดแป๊ปเดียวเอง แต่โรคนี้ไม่หายขาดนะ อาจจะกลับมาเป็นอีก บางคน 5 ปี ผ่าตัด 3 หน"

ความเห็นของฉัน
หายขาดน่ะ ทำได้....
"ให้หายขาดน่ะ ก็ต้องตัดรังไข่ทิ้งไป...เหอ เหอ แล้วฮอร์โมนก็พร่อง กระดูกพรุน สบัดร้อน ปวดเมื่อยตามตัว บางคนอารมณ์ฉุนเฉียว"

"อะไรที่มันสร้างปัญหาก็ตัดออกไป เอาออกไป......"
อะไรจะง่ายอย่างงั้น
เรา ตัดรังไข่ทิ้งไป เท่ากับเรากำลังเอาสิ่งที่เป็นสัญญาณบอกเหตุออกจากร่างกายที่ผิดปกติของเรา ถึงไม่มีรังไข่ไม่มีช็อคโกแลตซีส อีกเดี๋ยวก็ต้องเป็นอาการอื่นอีกล่ะน่า เพราะร่างกายเรามันไม่สมดุล ตั้งแต่แรกแล้ว




เล่าเรื่องจากประสบการณ์ของคนในครอบครัว...

เข้ามาในบล็อกนี้แล้ว คงจะได้รับทราบแล้วว่า ฉันเป็นมะเร็งรังไข่
โดยเริ่มจากการมีเนื้องอกในรังไข่ ที่เรียก endometriosis หรือช็อคโกแลตซีสต์

น้องสาวของฉัน มีอาการช็อคโกแลตซีสคล้ายๆ กัน
ปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงทุกเดือน มีก้อนเนื้องอกทั้งเนื้อทั้งน้ำที่ท่อรังไข่
และมีอาการภายนอกที่เห็นชัดเพิ่มอีก คือ ตัวบวมก่อนมีประจำเดือน ปวดหัวมาก

เธอไม่ต้องการจะเดินตามรอยฉัน ด้วยการผ่าตัด
ซึ่งถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แล้ว มันก็อาจจะพัฒนาเป็นมะเร็งรังไข่
ให้เคมีบำบัด...................................
ผลการตรวจอัลตราซาวน์ พบว่าขนาดของก้อนเนื้อ โตขึ้น เป็นขนาดเท่าไข่ไก่..

เธอจึงหาทดลองด้วย "ธรรมชาติบำบัด"
หมอเจคอบ เวทักกันเชรี นักธรรมชาติบำบัดจากอินเดีย
ได้มาจัดคอร์สอบรมการดูแลตัวเองด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัด
เป็นศาสตร์แห่งการพึ่งตนเอง ตามแนวทางของท่านมหาตมคานธี

เธอไปเข้าคอร์สในเดือนเมษายน 2550
หลังจากคอร์ส เธอตัดสินใจทดลองด้วยการกินผลไม้แทนอาหารทั้ง 3 มื้อ
เป็นเวลา 3 เดือน ตอนท้องว่างดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเฉาะสดๆ วันละ 1-2 ครั้ง
การปรับการกิน...ครั้งยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องยาก
แต่หากทำได้ จะเป็นชัยชนะ ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

เวลาผ่านไป 3 เดือน เธอยืดหยุ่นบ้าง เมื่ออยากกินอาหาร...หรือว่าตอนท้องผูก
ทดแทนด้วย ผักสดยำรสชาติอ่อน และเด็ดผักในรั้วบ้านสดๆ มาลวกบ้าง รวมทั้งหมด 11 มื้อเที่ยง ที่เหลือเป็นผลไม้ตามฤดูกาล
ฉันกินอาหารต้านมะเร็งมาร่วม 3 ปี ยังรู้สึกเลยว่า เธอเก่งมากๆ
ตอนกินผลไม้อย่างเดียว แรกๆ อาจจะมีอาการท้องผูกอยู่มั่ง
แต่พอร่างกายปรับตัวได้ การขับถ่ายจะเป็นปกติเอง

ผลการตรวจอัลตร้าซาวน์ หลังการกินผลไม้เป็นอาหารหลัก 3 มื้อ
เป็น เวลา 3 เดือน พร้อมฝึกโยคะ และสมาธิ คือ ขนาดของก้อนเนื้อยุบเล็กลง เหลือขนาดเท่าไข่แดง.....จากไข่ไก่ เหลือแค่ไข่แดง....เราดีใจกันทั้งบ้าน
และ เธอกำลังดำเนินการกินผลไม้เป็นอาหารหลัก ต่อไป แต่ให้มื้อเที่ยงเป็นอาหารธรรมชาติบำบัด คือข้าวกล้องเล็กน้อย กับผักสด หรือผักลวกใหม่ๆ ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ทุกชนิดเจือปน

เรากำลังดูกันต่อไป ว่าจะเป็นอย่างไร.....

แต่ ที่แน่ๆ เดี๋ยวนี้ เธอไม่มีอาการตัวบวม ไม่ปวดหัว อาการปวดท้องระหว่างมีประจำเดือนก็น้อยลงจนแทบจะไม่ปวด....ดีมั้ยล่ะ แค่กินผลไม้เยอะๆ

สำคัญคือ ผมดำเงาสวย ไม่ร่วงมากเหมือนแต่ก่อน รูปร่างดีขึ้นมาก ส่วนเกินหายไปไหนหมดไม่รู้...ผิวผ่อง...อย่างเห็นได้ชัด....เอากะเขาสิ....

ช็อคโกแลตซีสต์ หายขาดได้จริงหรือ??

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.bloggang.com

โรคนี้ ฮิตค่ะ
พนักงานในบริษัทต่างๆ ลาป่วย ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลกันเป็นเรื่องปกติ
ด้วยการเป็นช็อคโกแลตซีส
ซึ่งหมอที่โรงพยาบาลก็จะบอกว่า "มันง่ายมาก ผ่าตัดแป๊ปเดียวเอง แต่โรคนี้ไม่หายขาดนะ อาจจะกลับมาเป็นอีก บางคน 5 ปี ผ่าตัด 3 หน"

ความเห็นของฉัน
หายขาดน่ะ ทำได้....
"ให้หายขาดน่ะ ก็ต้องตัดรังไข่ทิ้งไป...เหอ เหอ แล้วฮอร์โมนก็พร่อง กระดูกพรุน สบัดร้อน ปวดเมื่อยตามตัว บางคนอารมณ์ฉุนเฉียว"

"อะไรที่มันสร้างปัญหาก็ตัดออกไป เอาออกไป......"
อะไรจะง่ายอย่างงั้น
เรา ตัดรังไข่ทิ้งไป เท่ากับเรากำลังเอาสิ่งที่เป็นสัญญาณบอกเหตุออกจากร่างกายที่ผิดปกติของเรา ถึงไม่มีรังไข่ไม่มีช็อคโกแลตซีส อีกเดี๋ยวก็ต้องเป็นอาการอื่นอีกล่ะน่า เพราะร่างกายเรามันไม่สมดุล ตั้งแต่แรกแล้ว




เล่าเรื่องจากประสบการณ์ของคนในครอบครัว...

เข้ามาในบล็อกนี้แล้ว คงจะได้รับทราบแล้วว่า ฉันเป็นมะเร็งรังไข่
โดยเริ่มจากการมีเนื้องอกในรังไข่ ที่เรียก endometriosis หรือช็อคโกแลตซีสต์

น้องสาวของฉัน มีอาการช็อคโกแลตซีสคล้ายๆ กัน
ปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงทุกเดือน มีก้อนเนื้องอกทั้งเนื้อทั้งน้ำที่ท่อรังไข่
และมีอาการภายนอกที่เห็นชัดเพิ่มอีก คือ ตัวบวมก่อนมีประจำเดือน ปวดหัวมาก

เธอไม่ต้องการจะเดินตามรอยฉัน ด้วยการผ่าตัด
ซึ่งถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แล้ว มันก็อาจจะพัฒนาเป็นมะเร็งรังไข่
ให้เคมีบำบัด...................................
ผลการตรวจอัลตราซาวน์ พบว่าขนาดของก้อนเนื้อ โตขึ้น เป็นขนาดเท่าไข่ไก่..

เธอจึงหาทดลองด้วย "ธรรมชาติบำบัด"
หมอเจคอบ เวทักกันเชรี นักธรรมชาติบำบัดจากอินเดีย
ได้มาจัดคอร์สอบรมการดูแลตัวเองด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัด
เป็นศาสตร์แห่งการพึ่งตนเอง ตามแนวทางของท่านมหาตมคานธี

เธอไปเข้าคอร์สในเดือนเมษายน 2550
หลังจากคอร์ส เธอตัดสินใจทดลองด้วยการกินผลไม้แทนอาหารทั้ง 3 มื้อ
เป็นเวลา 3 เดือน ตอนท้องว่างดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเฉาะสดๆ วันละ 1-2 ครั้ง
การปรับการกิน...ครั้งยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องยาก
แต่หากทำได้ จะเป็นชัยชนะ ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

เวลาผ่านไป 3 เดือน เธอยืดหยุ่นบ้าง เมื่ออยากกินอาหาร...หรือว่าตอนท้องผูก
ทดแทนด้วย ผักสดยำรสชาติอ่อน และเด็ดผักในรั้วบ้านสดๆ มาลวกบ้าง รวมทั้งหมด 11 มื้อเที่ยง ที่เหลือเป็นผลไม้ตามฤดูกาล
ฉันกินอาหารต้านมะเร็งมาร่วม 3 ปี ยังรู้สึกเลยว่า เธอเก่งมากๆ
ตอนกินผลไม้อย่างเดียว แรกๆ อาจจะมีอาการท้องผูกอยู่มั่ง
แต่พอร่างกายปรับตัวได้ การขับถ่ายจะเป็นปกติเอง

ผลการตรวจอัลตร้าซาวน์ หลังการกินผลไม้เป็นอาหารหลัก 3 มื้อ
เป็น เวลา 3 เดือน พร้อมฝึกโยคะ และสมาธิ คือ ขนาดของก้อนเนื้อยุบเล็กลง เหลือขนาดเท่าไข่แดง.....จากไข่ไก่ เหลือแค่ไข่แดง....เราดีใจกันทั้งบ้าน
และ เธอกำลังดำเนินการกินผลไม้เป็นอาหารหลัก ต่อไป แต่ให้มื้อเที่ยงเป็นอาหารธรรมชาติบำบัด คือข้าวกล้องเล็กน้อย กับผักสด หรือผักลวกใหม่ๆ ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ทุกชนิดเจือปน

เรากำลังดูกันต่อไป ว่าจะเป็นอย่างไร.....

แต่ ที่แน่ๆ เดี๋ยวนี้ เธอไม่มีอาการตัวบวม ไม่ปวดหัว อาการปวดท้องระหว่างมีประจำเดือนก็น้อยลงจนแทบจะไม่ปวด....ดีมั้ยล่ะ แค่กินผลไม้เยอะๆ

สำคัญคือ ผมดำเงาสวย ไม่ร่วงมากเหมือนแต่ก่อน รูปร่างดีขึ้นมาก ส่วนเกินหายไปไหนหมดไม่รู้...ผิวผ่อง...อย่างเห็นได้ชัด....เอากะเขาสิ....

ช็อกโกแลต ซีสต์

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.thaiclinic.com

Smileyช็อกโกแลต ซีสต์ หมายถึง ถุงน้ำที่มีของเหลวภายใน จริงๆแล้ว คำ 2 คำนี้มีความหมายแตกต่างกันมาก และเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง ไม่น่าที่จะมาเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกันได้เลย แต่มันก็เป็นไปแล้ว และนับวันผู้หญิงหลายคนก็เริ่มที่จะคุ้นหูกับคำว่า "ช็อกโกแลตซีสต์" หรือ โรคที่ทางการแพทย์เรียกว่า "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดปกติ" หรือ Endometriosis กันมากขึ้น และผู้ที่จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคช็อคโกแลต ซีสต์ ให้เราได้เข้าใจมากขึ้น ก็คือท่านผู้นี้ ผศ. นพ. วิโรจน์ สหพงษ์ อาจารย์แพทย์แผนกสูตินรีเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และแพทย์สูติ-นรีเวช ประจำโรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ Roll Eyes Roll Eyes Roll Eyes

Coolช็อคโกแลต ซีสต์ ก็คือถุงน้ำของรังไข่แบบหนึ่ง ลักษณะของถุงน้ำชนิดนี้ภายในจะมีของเหลวที่คล้ายกับช็อกโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือถุงเลือดนั่นเอง คือจะมีเลือดอยู่ในถุงนั้น เมื่อเลือดหยุดไหล น้ำก็ถูกดูดซึมกลับทำให้เลือดในถุงเข้มข้นขึ้น และเมื่อเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนานๆ ก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต สำหรับสาเหตุของการเกิดถุงน้ำช็อกโกแลต ในทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ คือแทนที่เลือดนั้นจะออกมาทางช่องคลอดของผู้หญิงตามปกติ ก็อาจจะมีเลือดประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับเข้าไป ผ่านทางหลอดมดลูก แล้วเข้าไปในช่องท้อง ไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้น และเนื่องจากลักษณะเซลล์ของถุงน้ำเป็นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกอันหนึ่ง เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ถุงน้ำดังกล่าวก็จะมีเลือดออกในถุงด้วย ดังนั้น ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป ถุงน้ำก็จะมีเลือดออกเพิ่มขึ้นๆ นั่นหมายถึง ถุงน้ำก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“ช็อคโกแลต ซีสต์ มันก็เป็นถุงน้ำที่มีเลือดขังอยู่ ชื่อทางการแพทย์มันก็คือ Endometriosis ก็หมายความว่ามันมีเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งปกติแล้วมันก็จะเป็นประจำเดือน เยื่อบุโพรงมดลูกมันก็มีชีวิตชีวา เวลามีประจำเดือนเลือดมันก็จะออกที่ตรงนั้น ถ้ามันไปเป็นช็อคโกแลต ซีสต์ อยู่ที่หลังมดลูก หรือรังไข่ ปีกมดลูก แต่ส่วนใหญ่เป็นที่รังไข่ คล้ายๆเป็นเนื้องอกของรังไข่ เพราะอย่างนั้นเวลามีประจำเดือนที มันก็จะมีเลือดออกที่รังไข่ แล้วก็เป็นเลือดขังอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก สาเหตุก็คือ เยื่อบุโพรงมดลูกมันสามารถผ่านออกทางปากมดลูก ผ่านทางช่องคลอด ซึ่งก็คือประจำเดือน แต่ส่วนหนึ่งมันหลุดไปที่รังไข่ คือมันเข้าไปในช่องท้อง คือรังไข่มันแขวนอยู่ในช่องท้อง มันก็ไปอยู่ที่หลังมดลูกหลังลำไส้ เป็นได้หลายที่ มันอาจจะผ่านไปทางท่อน้ำเหลืองได้”


คนไข้กลุ่มที่เป็นถุงน้ำ มักจะมีปัญหาในเรื่องภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่อง ซึ่งไม่สามารถจะทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เติบโตผิดที่นี้ได้ ในขณะที่ผู้หญิงปกติทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถทำลายเนื้อเยื่อบุโพรงม ดลูกที่เจริญเติบโตผิดที่ได้ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการปวดท้องมาก น้อยแตกต่างกันไป บางรายอาจปวดมากจนถึงขั้นทำอะไรไม่ได้เลย อย่างคุณหน่อยบุษกรที่เป็นโรคนี้ เวลาเธอมีประจำเดือนที เธอก็จะปวดท้องมากจนทำอะไรไม่ได้ ต้องนอนเฉยๆเท่านั้น สาเหตุก็คือ เมื่อมีประจำเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะมีเลือดออกด้วย และการที่มีเลือดออกในช่องท้อง ก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้องนี้เอง ที่เป็นตัวทำให้เกิดความเจ็บปวด เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่า ผู้หญิงที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ จะมีอาการปวดท้องมากเวลาที่มีประจำเดือน

Embarassed“อาการ ก็คือ ปวดประจำเดือนเป็นหลัก มีเลือดออก เวลามีประจำเดือนก็มีเลือดออก ซ้ำแล้วก็ทำให้ปวดได้ ทุกเดือนๆก็มีเลือดออกนิดนึงๆ แล้วมันออกไม่ได้มันก็อยู่ในนั้น”

ส่วนที่ดูเหมือนกับว่าผู้หญิงในปัจจุบันเป็นโรคนี้กันมาก ก็เพราะว่าความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี จริงๆ แล้วก็ไม่มีความแตกต่างกันมากกับในอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่ความเข้าใจของแพทย์เองต่อโรคนี้มีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น ก็เลยดูเหมือนกับว่ามีคนเป็นโรคนี้กันเยอะ รวมทั้งข่าวสารที่มีการแพร่หลายในวงกว้าง จึงทำให้มีการฉุกใจขึ้นมาว่า เราเป็นโรคนี้หรือเปล่า แล้วก็ไปตรวจ ซึ่งบางคนก็พบว่าเป็นโรคนี้จริง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่า โรคดังกล่าวปัจจุบันนี้เป็นกันมาก สำหรับช่วงอายุที่เป็นกันนั้นอาจารย์แพทย์วิโรจน์กล่าวว่า

“ตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน มันก็เริ่มตั้งแต่ 20, 30, 40”

การที่จะแยกว่าอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือน จะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเราเป็นหรือไม่นั้น สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เรื่องอายุ นั่นคือถ้าอายุยังไม่มาก แล้วปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดท้องแบบธรรมดา แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน พออายุ 30 ปีขึ้นไปอยู่ๆ ก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมา และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป อาการดังกล่าวค่อนข้างบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ หรือช็อคโกแลต ซีสต์นั่นเอง ส่วนการรักษาที่ว่าต้องมีลูกถึงจะหายจากโรคนี้ คุณหมอได้อธิบายว่า

“ คือมันเป็นกับคนที่ไม่มีลูกไง เพราะว่ามีประจำเดือนอยู่เรื่อย ทีนี้พอคนที่มีลูกมันหาย เวลามีประจำเดือนอยู่เรื่อยมันก็ทวีคูณไปเรื่อยๆ ทีนี้พอเราหยุดมันถึงมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น เยื่อบุที่มันไปอยู่ที่อื่น มันก็จะเปลี่ยนเยื่อบุ กลายเป็น เดสซิโด ก็คือ เยื่อบุโพรงมดลูกมันเปลี่ยนแปลงไป เพื่อรองรับการตั้งครรภ์”

สำหรับวิธีการรักษามีหลายวิธี ทั้งทานยา ฉีดยา หรือว่าจะผ่าตัด ผู้หญิงหลายคนที่เป็นโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำออก และหลายๆกรณี แพทย์บางคนผ่าตัดเอามดลูก และรังไข่ออกไปด้วยในคราวเดียวกัน

“การรักษาจริงๆ ถ้าเรายังไม่ให้มีลูก เราก็ให้โปรเจสเตอโรนเข้าไป แบบรับประทานก็ได้ โปรเจสเตอโรนมีทั้งแบบทาน และแบบฉีด ส่วนใหญ่ก็จะลดอาการปวด แต่จริงๆ เค้าให้มีท้องอยู่เรื่อย มันก็จะรักษาอาการพวกนี้ได้ แต่ถ้ามันถึงขีดสุดแล้ว แล้วก็ทรมานมาก ไม่เอาลูก เอาอะไรทั้งนั้น เค้าก็จะตัด ตัดที่ต้นเหตุ คือตัดมดลูก แต่ถ้าเอาลูก ก็ต้องทำให้มีลูกเร็วๆ ก็แค่นั้นเอง”

โรคช็อคโกแลต ซีสต์ไม่ใช่โรคน่ากลัวแต่อย่างใด สามารถรักษากันได้ แถมยังเป็นโรคที่ชื่อน่ารัก น่ากินมาก ถ้าใครที่มีอาการอย่างที่ได้บอกไป ก็ลองไปตรวจกันดู ก่อนที่มันจะรุนแรงกว่าเดิม