วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เมื่อหมอรักษามะเร็งของตัวเอง

...สวัสดีครับ หนังสือเล่มนี้ ผมเขียนขึ้นหลังจากตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายได้ 3 ปี 2เดือน ทุกวันนี้ผมยังคงอยู่ได้สบายๆและไม่ได้ไปติดตามการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันแต่อย่างใด แต่ที่ผมได้ทำอยู่ทุกวันตั้งแต่ป่วยมาก็คือ การมาอยู่ในระเบียบวินัยวิถีชีวิตของเกอร์สันเป็นวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด (ซึ่งวิถีชีวิตเกอร์สันท่านอ่านดูได้จากหนังสือเล่มนี้ครับ)
เช่นเดียวกันกับการปฏิบัติตัวในแนวเกอร์สัน ผมผ่านประสบการณ์มากขึ้นกลั่นกรองเนื้อหาได้มากขึ้น ผมพยายามหาแนวเกอร์สันแบบไทยๆมากขึ้น แล้วตอนนี้กำลังรวบรวมอยู่ให้มากเข้าไว้เพื่อจะได้เขียนในครั้งต่อๆไป
หนังสือเล่มนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ หากสำนักพิมพ์จะเอาไปพิมพ์ก็เชิญตามสบาย  หากใครจะคัดลอก,ทำซ้ำ,ทำเผยแพร่ต่อๆไป เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับรู้ ข้อมูลด้านนี้ก็จะเป็นที่น่ายกย่องยินดี เพราะท่านกำลังทำความดีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ขอให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกท่านสู้ต่อไป มะเร็งหายได้ครับ
และท่านจะรู้ว่าโลกหลังมะเร็งสุขเพียงใด
  น.พ. คทารัตน์    บุญนิธิพันธุ์
        20  มิถุนายน 2557หลังเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายได้
3 ปี 2 เดือน กับอีก 8 วันแล้ว
7 เรื่องที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องรู้
... เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอดได้ และถ้าทำได้ใน 7 เรื่องนี้ไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลือก็จะหายขาดจากมะเร็ง (ใช่ครับ!! หายขาดจากมะเร็งได้ครับ)
เรื่องที่ 1 ต้องรู้ว่า มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อม คือ ร่างกายเสื่อมลงทุกระบบ มะเร็งมีสาเหตุมากกว่าที่เราเห็นและซับซ้อนกว่าที่เป็น
เรื่องที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด อย่าอยู่กับแนวชีวิตเดิมๆที่ผ่านมา เพราะการเป็นอยู่แบบเดิมๆนั่นแหละที่นำตัวท่านไปสู่โรคมะเร็
เรื่องที่ 3 อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง  มีอาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องรู้ว่า “ ห้ามทาน “ และมีอะไรบ้างที่ผู้ป่วยมะเร็งทานได้
เรื่องที่ 4 น้ำคั้นผักสด,น้ำคั้นผลไม้สด  ที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องดื่มกันวันละ 10-13 แก้ว
เรื่องที่ 5 การสวนกาแฟ เพื่อขับพิษออกจากร่างกาย
เรื่องที่ 6 อาการถอนพิษ
เรื่องที่ 7 ยาเสริมให้ร่างกายแข็งแรง
เรื่องที่ 1 มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อม
ตั้งใจอ่านดีๆนะครับ  เพราะเรื่องที่ผมจะบอกต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีแพทย์ท่านใดบอกให้ผู้ป่วยมะเร็งทราบมาก่อน ผมจะบอกที่มาที่ไปของโรคมะเร็งให้ทราบครับ
โรคมะเร็งมันเป็นภัยเงียบครับ  ขบวนการก่อเกิดมะเร็งจะใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป ขบวนการก่อเกิดโรคจะใช้เวลาสะสมนาน 20-30 ปีครับ มันเริ่มจากชีวิตเราๆท่านๆพัฒนาจากชีวิตชนบทมาเป็นชีวิตในเมือง
ชีวิตที่ห่างเห็นจากธรรมชาติมากขึ้นๆ มะเร็งมันเริ่มก่อตัวมากับ “อาหารการกิน” ที่เราทานๆกันอยู่ทุกวัน อาหารที่ทำขายหรือวางขายทั่วๆไป อาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหารเจือปนด้วยวัตถุกันเสีย,อาหารใส่สีสารปรุงแต่งรสชาติ,พืชผักที่พ่นสารเคมีฆ่าแมลง,เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรมมีการใช้ฮอร์โมน,สารเร่งเนื้อแดง,ยาปฏิชีวนะ มะเร็งมันมากับ “สภาพสิ่งแวดล้อมของสังคมเมืองที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากขึ้น” และการใช้ชีวิตประจำวัน “การทำงานหนักเครียดพักผ่อนน้อย” โหมงานหนักขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมว่ามานี้ มะเร็งได้เริ่มก่อตัวอย่างเงียบๆ โดยสารพิษ,ความเป็นพิษทั้งหลายที่เรารับมาแต่ละมื้ออาหาร,รับมาแต่ละวัน
ร่างกายจะนำไปทำลายที่ตับและขับออกทางน้ำดีไหลไปสู่ลำไส้ แล้วสารพิษจะถูกขับออกไปกับอุจจาระ ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในขบวนการทำลายพิษครับ คราวนี้พอเรารับสารพิษอยู่เรื่อยๆทุกวัน ตับก็จะทำลายสารพิษทุกครั้งไป จนเวลาผ่านไป 20-30 ปี จนตับมันรับทำลายสารพิษให้ไม่ไหวแล้ว จับสารพิษไม่ทัน ตับเริ่มเสื่อมมากขึ้นๆ แล้วพิษก็สะสมมากขึ้นๆ จนพิษเต็มตับเต็มทั่วร่างกาย ก็จะไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะไหนอ่อนแอสุดก็เกิดมะเร็งในอวัยวะนั้นๆครับ อาการของโรคมะเร็งมันจะค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจน จนต่อเมื่ออาการเด่นชัดแล้วก็เป็นเยอะแล้วครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกครับที่เราจะเจอผู้ป่วยมะเร็งโดยมากก็ในระยะเกือบสุดท้ายหรือสุดท้ายแล้ว
ดังนั้นอย่างที่ผมกล่าวมาข้างต้น มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อมหมายความว่า เสื่อมทุกระบบ เสื่อมทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ตับ ตับเสื่อมมากที่สุด ดังนั้นการรักษามะเร็งนั้นต้องรีบฟื้นตับให้กลับมาดีเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงเดิม,ฟื้นทุกระบบให้กลับมาทำงานได้ดีที่สุด แล้วโรคมะเร็งก็จะหายครับ (ใช่ครับ!หายครับ) ดังนั้นการักษามะเร็งจึงไม่ใช่การผ่าตัด,ไม่ใช่การฉายแสงและไม่ใช่การให้ยาคามีบำบัดเพราะการรักษาเหล่านี้มะเร็งไม่หายมันจะกลับมาเป็นซ้ำ ยิ่งโหมการรักษายิ่งทำให้ผู้ป่วยไปเร็วขึ้น ทั้งการผ่าตัดฉายแสงให้ยาเคมีบำบัดเป็นการทำให้ระบบทุกระบบที่เสื่อมอยู่แล้ว ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม สุดท้ายผู้ป่วยเสียชีวิตจากการรักษา ก่อนจะเสียชีวิตจากตัวโรคมะเร็งจริงๆด้วยซ้ำ
จำไว้นะครับ โรคมะเร็ง การรักษาต้องรีบฟื้นทุกๆระบบของร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่โดยเฉพาะที่ตับ ถ้าฟื้นทันก็ชนะ ถ้าฟื้นไม่ทันก็แพ้ครับ น่าสนนะครับ ตามผมมาเถอะครับ ทางนี้เป็นทางรอดของมะเร็ง
ระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว ยังมีเวลาให้เรากลับตัวทัน ทั้งนี้ผมเรียกว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะถ้าเราเลี้ยวกลับแล้วไปต่อกับการรักษาที่ถูกวิธีโรคมะเร็งก็หายครับ  ถ้าเราไม่เลี้ยวกลับยังเดินหน้าต่อกับการรักษาที่ผิดแบบนี้จบกันครับ  ระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของแต่ละมะเร็งมันไม่เท่ากัน ถ้าเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ,มะเร็งตับอ่อน,มะเร็งปอดหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่,มะเร็งกระเพาะอาหาร,มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดที่มะเร็งที่เซลล์มะเร็งก้าวร้าว มะเร็งพวกนี้มีเวลาให้เรา 2-3 สัปดาห์  ถ้าช้ากว่านี้ไม่ทันการณ์ครับ ยิ่งถ้าแพทย์เองรู้สึกว่าโรคมะเร็งไปเยอะแล้ว  หมดหวังกับตัวโรคเองแล้ว ได้บอกทั้งเปอร์เซ็นต์การรอด,เปอร์เซ็นต์ในการเสียชีวิตให้ผู้ป่วยและญาติทราบก็หดหู่กันทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขที่แพทย์ท่านบอกมาเป็นสถิติทางแพทย์แผนปัจจุบันครับ ถ้าท่านยังเดินตามแผนการรักษาตามนั้นต่อไปผลก็ออกมาไม่แคล้วกับที่ท่านบอก
โชคดีที่ น.พ. แม็กซ์  เกอร์สัน ได้เกิดมาบนโลกใบนี้
โชคดีที่โลกใบนี้มี น.พ.แม็กซ์  เกอร์สัน เกิดมา เพราะแนวคิดที่ว่ามะเร็งเป็นโรคของความเสื่อมก็เป็นแนวคิดของท่านเองครับ น.พ.เกอร์สันมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ1881-1959 ท่านเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ท่านจบแพทย์ศาสตร์ที่เยอรมัน ช่วงแรกๆของการทำงานท่านทำงานอยู่ในเยอรมันต่อมาท่านต้องหนี
ฮิตเลอร์ที่ไล่เข่นฆ่าชาวยิว น.พ.เกอร์สันหนีไปหลายประเทศจนสุดท้ายก็มาลงหลักปักฐานที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา  ตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ น.พ.เกอร์สัน มักมีอาการปวดหัวไมเกรน รบกวนอยู่ประจำ ช่วงที่มีอาการไมเกรน ท่านจะต้องอยู่ในห้องมืดๆเงียบๆทั้งปวดหัวอาเจียน 3-4 วัน ท่านพยายามให้อาจารย์แพทย์ของท่านรักษาให้ก็ไม่หาย อาจารย์แพทย์ได้บอกว่าให้ทำใจอยู่กับโรคนี้ไปจนกระทั่งอายุ 50ปีก็จะดีขึ้น ตอนนั้นน.พ.เกอร์สันพยายามหาหนังสือ,ค้นรายงานทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับไมเกรนทุกเล่มทุกฉบับมาอ่าน
แล้วท่านก็ต้องไปสะดุดสายตากับรายงานฉบับหนึ่งว่า อาหารสามารถรักษาไมเกรนได้ ท่านได้ให้ความสำคัญมากท่านได้ลองทานอาหารด้วยตนเอง บันทึกชนิดของอาหารที่ทั้งทำให้อาการไมเกรนกำเริบกับทำให้ไมเกรนไม่กำเริบ ท่านพบว่า ตราบใดที่ท่านทานมังสวิรัติ,งดเนื้อสัตว์,ไม่กินเกลือ,ไม่ทานอาหารที่มีนม,เนย,ครีมไขมัน ตราบนั้น อาการไมเกรนจะไม่กำเริบแน่นอน ต่อมาท่านได้นำสูตรอาหารไมเกรนของท่านรักษาผู้ป่วยไมเกรน ก็พบว่าผู้ป่วยส่วนมากหายจากปวดหัวไมเกรนจนเป็นที่เลืองลือ ต่อมามีผู้ป่วยไมเกรนคนหนึ่งมาบอกท่านว่า นอกจากอาการไมเกรนจะหายแล้ว แผลจากวัณโรคผิวหนังที่เขาเป็นมานานก็หายด้วย (สมัยนั้นยังไม่มียารักษาวัณโรค ใครเป็นวัณโรคก็เตรียมตัวตายราวกับมะเร็งสมัยนี้แหละครับ) น.พ.เกอร์สันยังแปลกใจมันหายได้อย่างไร
ท่านก็ทดลองให้ผู้ป่วยวัณโรคผิวหนังทานอาหารสูตรไมเกรน แทบทุกรายหายหมด ต่อมาท่านนำสูตรนี้ไปรักษาวัณโรคปอด, วัณโรคไต, วัณโรคกระดูก ปรากฏว่าได้ผลหายเกือบหมด
แล้ววันหนึ่งน.พ.เกอร์สันได้รับการปรึกษาทางโทรศัพท์ ท่านได้ไปบ้านผู้ป่วยหญิงรายหนึ่ง ผู้ป่วยบอกว่า เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดี  ตอนนั้นเธอมีไข้สูง,ตัวเหลือง,ตาเหลือง ที่สำคัญแพทย์ผู้ผ่าตัดได้บอกเธอว่าไม่สามารถทำอะไรให้ได้แล้ว  เธอรู้ว่าน.พ.เกอร์สันน่าจะรักษาเธอได้ จึงได้ปรึกษามา
น.พ.เกอร์สันได้บอกเธอตามตรงว่าท่านไม่มีประสบการณ์ในการรักษามะเร็ง  แต่อย่างไรก็ตามน.พ.เกอร์สันก็เขียนสูตรอาหารรักษาวัณโรคให้เธอไว้ เหตุการณ์ผ่านไป 6 เดือน วันหนึ่งขณะที่น.พ.เกอร์สันตรวจคนไข้อยู่ ท่านก็ต้องตกใจเมื่อท่านได้พบเจอผู้ป่วยผู้หญิงรายนี้ แต่ตอนนี้เธอสบายดีไม่มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ดูเหมือนว่าทุกอย่างหาย  น.พ.เกอร์สันท่านแปลกใจมาก ท่านพยายามคิดว่าไมเกรน,วัณโรคและมะเร็ง มันสัมพันธ์กันอย่างไร
พอได้สูตรอาหารไมเกรนถึงหายแทบทุกราย
ช่วงที่ท่านหนีฮิตเลอร์ไปตามประเทศต่างๆท่านก็รักษาทั้งไมเกรน,วัณโรคและมะเร็ง ท่านก็พบว่าถ้าผู้ป่วยให้ความร่วมมือดี แผนกโภชนาการปฏิบัติทำอาหารตามสูตรโรคก็จะหาย แต่ถ้าแผนกโภชนาการไม่ใส่ใจกับสูตรอย่างเคร่งครัดโรคก็จะไม่หาย สุดท้ายเมื่อท่านลงหลักปักฐานที่นิวยอร์ก ท่านได้สอบใบประกาศโรคศิลป์ของรัฐนิวยอร์กผ่าน ท่านก็ได้รับผู้ป่วยของท่านเองมารักษาที่คลินิก แรกๆก็เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง,ไมเกรน,วัณโรคแล้วก็มะเร็ง จนกระทั่งจากปากต่อปากของผู้ป่วยมะเร็งมาจากทั่วสารทิศของอเมริกา และส่วนใหญ่ก็เป็นรายที่เป็นฯมากแล้ว เป็นประเภทแพทย์ไม่เอาผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยก็ไม่เอาแพทย์แล้ว มันเหมือนกับการบังคับน.พ.เกอร์สันต้องรักษามะเร็งอย่างเดียว
น.พ.เกอร์สันท่านเป็นนักวิชาการไม่ได้รักษาสุมสี่สุมห้า ท่านกลับมาอ่านตำราและรายงานทางการแพทย์ที่รักษามะเร็งทุกเล่มทุกฉบับ สุดท้ายท่านได้ข้อสรุปว่า แพทย์ทุกคน สถาบันการแพทย์ทุกแห่งจะมองว่า มะเร็งมีอาการเป็นก้อน มีก้อนมะเร็งแล้วก็กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แพทย์ทุกคนจะรักษาก้อนมะเร็งด้วยการผ่าตัดหรือไม่เช่นนั้นก็ฉายแสง (สมัยนั้นยังไม่มีการให้ยาเคมีบำบัด ยาเคมีบำบัดเริ่มให้กันหลังน.พ.เกอร์สันเสียชีวิตแล้ว)  แต่พอก้อนมะเร็งถูกตัดออกไม่ช้าไม่นานมะเร็งก็กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ท่านจึงมีแนวความคิดว่า มะเร็งมันต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าก้อน จากนั้นท่านก็ได้ลงมือรักษา,ศึกษามะเร็งตามแนวคิดของท่าน  แล้วท่านก็พบความจริงที่ยังไม่มีแพทย์ท่านใดรู้หรือบอกได้ (รวมถึงผม ถ้าผมไม่มาเป็นมะเร็งปอดเองก็คงไม่สนใจรักษาตัวเองด้วยวิธีน.พ.เกอร์สันอย่างจริงจัง)  มะเร็งเป็นภาวะที่ทุกระบบของร่างกายเสื่อมลงสุดๆ จุดเสื่อมแย่สุดคือตับ ตับกำลังจะหยุดทำงาน ดังนั้นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งรอด คือ ต้องรีบฟื้นฟูร่างกายทุกระบบ ฟื้นทั้งตัว โดยเฉพาะที่ตับต้องรีบช่วยก่อน ต้องรักษาระบบทุกระบบของร่างกายโรคมะเร็งจึงจะหาย (ใช่ครับ!หาย) ค่อยๆตามผมมาครับ
เรื่องที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด
ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้มาอยู่ในระเบียบวินัยการกิน,การเป็นอยู่ที่ต้องขับพิษออกอย่างสม่ำเสมอหลีกเลี่ยงการรับสารพิษทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมอย่างสิ้นเชิง แล้วต้องเปลี่ยนครับ ถ้าไม่เปลี่ยนยังคงดำเนินชีวิตแบบเดิมๆเห็นทีไม่รอดครับ เพราะการกิน,การเป็นอยู่แบบเดิมๆนั่นแหละครับที่นำตัวเราไปสู่มะเร็ง  น่าคิดนะครับ ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่ยังติดตามการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน ยังคงได้รับคำแนะนำอย่าเครียด อย่ากังวล ให้ทำตัวตามปกติแล้วมาติดตามการรักษากับแพทย์ดีๆ (ซึ่งคำแนะนำนี้ ผมก็ใช้อยู่เป็นประจำตอนยังผ่าตัดรักษาผู้ป่วยมะเร็ง และคิดว่าคำแนะนำนี้ยังคงถูกใช้ตลอดไปในโรงพยาบาล)  แต่ปรากฏว่ามะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำแทบทุกราย  พอตอนหลังเป็นมะเร็งปอดซะเองได้มาศึกษาแนวทางเกอร์สันเลยรู้ว่าวิถีการกิน,การเป็นอยู่แบบเดิมๆถ้ายังไม่เปลี่ยนโรคมะเร็งมันจะกลับมาได้อีก เพราสาเหตุต้นตอมันไม่ได้ถูกแก้ไขครับ
ที่สำคัญนะครับ ผู้ป่วยต้องรู้ก่อนว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ซึ่งสังคมไทยญาติๆมักไม่อยากบอกให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็นมะเร็ง ผมว่าวิธีการนี้ยังไม่ถูกนะครับ ที่ถูต้องคือผู้ป่วยต้องรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งอะไร,ระยะไหน เพราะต่อไปนี้วิถีการดำเนินชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่ทั้งการกิน,การเป็นอยู่,การพักผ่อนนอนหลับ  แล้วถ้ามีงานให้ยุ่งให้เครียดต้องหยุดครับ
การงานก็เป็นตัวสำคัญที่จะชี้ว่าท่านจะรอดหรือไม่รอดจากมะเร็ง ยิ่งผู้ป่วยมะเร็งท่านใดมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมาก,งานมีความเครียดมาก (stress) ผมแนะนำให้ท่านหาคนมาทำแทน แล้วท่านพักยาวไม่มีกำหนด เพราะตราบใดที่ท่านมีความเครียดจากงานมาคอยกระตุ้นตลอดตราบนั้นมะเร็งมันก็ยังอยู่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าท่านจะต้องมาอยู่ในแนวทางเกอร์สันแล้ว จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 2 ปี
(ถ้าผู้ป่วยมะเร็งท่านใดรับยาเคมีบำบัดมาด้วยจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปีครับ)
สถานที่ในบ้านก็ต้องจัดกันใหม่ ท่านต้องมีสถานที่ตั้งโต๊ะอุปกรณ์คั้นน้ำผักสด,ผลไม้สด
ท่านต้องมีตู้เย็นขนาดใหญ่เอาไว้เก็บผักสด,ผลไม้สด,ท่านต้องมีสถานที่สวนกาแฟเป็นส่วนตัว อุปกรณ์ใช้ทำอาหารให้ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนมาใช้แสตนเลส ถ้วยจานใส่อาหารต้องเป็นแก้วหรือกระเบื้องเคลือบห้ามใช้จานชามสังกะสีหรือพลาสติก
คนทุกคนในบ้านท่านต้องช่วยกันในการเตรียมผักสด,เตรียมผลไม้สด,เตรียมกาแฟสำหรับสวนทำอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ ถ้าจะให้ดีควรมีผู้มาช่วยทำงานนี้ประจำไปเลย ควรมีซัก2 คนเพราะวันดีคืนดีผู้ช่วยไม่สบายไปซะคนหนึ่งก็ยังมีอีกคนคอยทำได้อยู่ แล้วผมจะค่อยๆบอกในรายละเอียดแต่ละเรื่องต่อไปครับ
เรื่องที่ 3 เรื่องอาหารของผู้ป่วยมะเร็ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดครับสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง และเป็นตัวชี้วัดได้ว่าผู้ป่วยมะเร็งจะรอดไม่รอด,หายหรือไม่หายก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่ผู้ป่วยทานเข้าไป ก่อนอื่นใด ผู้ป่วยมะเร้งต้องรู้ว่า  “มะเร็งมันโตขึ้นมาได้มันก็ต้องใช้อาหารของมันเหมือนกัน”  ดังนั้นหลักการเรื่องอาหารผู้ป่วยมะเร็งก็คือ  ทานอาหารเอาไปฟื้นฟูภาวะร่างกายให้กลับมาแข็งแรง ขณะเดียวกันต้องดทานทุกสิ่งทุกอย่างที่มะเร็งจะนำไปเป็นอาหารของมันได้  อาหารที่มะเร็งมันชอบมากได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์,จากเห็ดทุกชนิด,ไขมันทุกชนิด (ยกเว้น Flax Seed Oil ที่มะเร็งเอาไปใช้ไม่ได้) ,เกลือ (มะเร็งจะนำเกลือไปเป็นตัวเร่งขบวนการให้มันอยู่รอดแล้วโตได้) แล้วยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่เราอาจคาดไม่ถึงว่ามันเป็นอาหารของมะเร็งได้ซึ่งห้ามทานครับ
อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งห้ามทาน
- เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ต้องงดโดยเด็ดขาด
- ของมันทุกชนิด  อาหารที่ใส่นม,เนย,ไข่,ครีม,ของทอดห้ามทาน
- อาหารที่ใส่เกลือ น้ำปลา ,ซีอิ้ว,ซอสปรุงรส,กะปิ,ปลาร้า,ผงชูรส,เต้าเจี้ยว
- อาหารที่หมักดองทุกอย่างห้ามทาน
- อาหารที่วางขายทั่วไป, อาหารตามสั่ง,อาหารในภัตตาคาร,ร้านอาหาร ห้ามทาน เพราะอาหารดังกล่าวจะใส่ทุกอย่างที่ผู้ป่วยห้ามทานมาอยู่แล้ว
- อาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหารบรรจุวางขายตามชั้นวางของ  ในร้านสะดวกซื้อ  ในห้างใหญ่ ซึ่งบรรจุในรูปกล่อง,กระป๋อง,ถุง,ขวด,ซอง ห้ามทานเพราะอาหารพวกนี้มักใส่สารกันบูดเจือสี,ใส่สารแต่งรสชาติ เป็นโทษกับผู้ป่วยมะเร็ง
- อาหารเสริมที่โฆษณา,อาหารเสริมทางการแพทย์ ห้ามทาน เพราะอาหารเสริมนี้จะไปทำให้มะเร็งโตเร็วมาก
- บุหรี่,สุรา,ชา,กาแฟ เลิกไปเลยครับตลอดชีวิต
- เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าเห็ดสด,เห็ดแห้ง ห้ามทาน
- งา,ถั่วทุกชนิด ไม่ว่าเป็นถั่วแดง,ถั่วเขียว,ถั่วดำ,ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่นเต้าหู้,นมถั่วเหลือง ห้ามทาน เพราะทั้งถั่วและงามีไขมันเยอะมากเป็นอาหารของมะเร็ง
- เนื้อมะพร้าว,จาวมะพร้าว มีไขมันสูงเช่นกันห้ามทาน
- พริกเผ็ดมากๆและเครื่องเทศที่ทำให้เผ็ดร้อน ห้ามทานเพราะจะไปยับยั้งขบวนการหายของร่างกาย
- แตงกวาและสับปะรด ห้ามทานเพราะแตงกวาย่อยยาก,สับปะรดมีสาร    มะเร็งสามารถดึงไปใช้ได้
- น้ำปั่นหรือผลไม้ปั่นขาย ห้ามทาน
- แป้งขาวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขาว เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว,ขนมปัง,เส้นบะหมี่ ห้ามทาน รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกยี่ห้อ
- ขนมหวาน,ลูกอม,ช็อคโกแลต,ขนมกรุบกรอบ ห้ามทาน
- หน่อไม้,พืชต้นข้าวอกใหม่ ห้ามทาน
- สาหร่าย ห้ามทาน
- อะโวคาโด้ ห้ามทานเพราะมีไขมันสูง
(ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผมที่เกี่ยวกับผักผลไม้ฤทธิ์ร้อน ซึ่งผมสังเกตตัวเองว่าถ้ากินผักหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนแล้วมักมีอาการไม่สบายเนื้อตัว หรือมีแผลร้อนในเยอะมาก,มีอาการไอหอบหืด,จามเยอะมาก จึงเขียนลงเอาไว้เผื่อท่านผู้อ่านจะหลีกเลี่ยงผัก,ผลไม้ฤทธิ์ร้อน)
ผักและกลุ่มของร้อน(มีฤทธิ์ร้อน) ได้แก่ ข้าวเหนียว,ข้าวแดง,ข้าวนิล,ข้าวอาร์ซี,ข้าวสาลี,ข้าวบาร์เล่ย์,เผือก,มัน,กลอย,รำข้าว,จมูกข้าว,เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดอัลมอน,เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ผักที่มีรสเผ็ด เช่น กระชาย,กระเพา,ยี่หร่า,โหระพา,แมงลัก,กุ้ยช่าย(ผักแป้น),ต้นหอม,หอมหัวใหญ่,หอมแดง,ผักชี,พริกไทย,ขิง,ข่า,ขมิ้น,ไพล,ใบมะกรูด,ตะไคร้
นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่มีรสเผ็ดแต่มีฤทธิ์ร้อน เช่น คะน้า,แครอท,บีทรูท,กะหล่ำปลี,ชะอม,ถั่วฝักยาว,ถั่วพู,สะตอ,ลูกเหนียง,กระเฉด,ลูกตำลึง,โสมจีน,โสมเกาหลี,ผักกาดเขียวปลี,ใบยอ,ผักแขยง,ยอดเสาวรส,เม็ดบัว,แพงพวยแดง,ใบ ยอด เม็ดกระถิน,พืชที่มีกลิ่นฉุน
ผลไม้ฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ฝรั่ง,ขนุนสุก,ลิ้นจี่,เงาะ,ลำไย,ทุเรียน,น้อยหน่า,สละ,องุ่น,ส้มเขียวหวาน,กล้วยไข่,มะตูม,ละมุด,กล้วยปิ้ง,ลองกอง,เสาวรส,มะเฟือง,มะปราง,สมอพิเภก,มะไฟ,ทับทิมแดง,มะม่วงสุก,ลูกยอ,กระเจี๊ยบแดง
ดูๆแล้วคล้ายกับว่าผู้ป่วยมะเร็งถูกห้ามทานทุกอย่าง จริงๆไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่เนื่องจากอาหารที่ห้ามทานเป็นอาหารที่คนทั่วไปเขาทานกันแทบทั้งนั้น ยังมีผักผลไม้อีกเยอะแยะครับที่ทานได้ โดยหลักการอาหารผู้ป่วยมะเร็งต้องเป็นฯอาหารมังสวิรัติ (ยิ่งเป็นผักสด,ผลไม้สดได้ยิ่งดี) ไม่มีไขมัน ไม่ใส่เกลือ น้ำปลา มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับอาหารต้านมะเร็งซึ่งผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ เช่น ของสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ ก็มีหลายเล่มที่เขียน รายการอาหารต้านมะเร็ง เบอร์โทร 02-5137670, หนังสือ “ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง” (ข้างในเล่มจะมีเมนูอาหารสลายมะเร็งให้อ่านเยอะดีนะครับ) ของบริษัท เอ็ดดูเคชั่น ไมน์ด ไลน์ มัลติมีเดีย จำกัด เบอร์โทร 02-7361337 , หนังสือ “ความลับฟ้า” ของอ.ใจเพชร (หมอเขียว) เบอร์โทร 086-7562357 ซึ่งเล่มนี้มีผักพื้นบ้าน มีเรื่องผักฤทธิ์เย็น,ผลไม้ฤทธิ์เย็น (ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งกินได้) มีเรื่องผักและผลไม้ฤทธิ์ร้อน (ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรกิน) ต่การทำอาหารของ อ.ใจเพชรเป็นเมนูปรับพื้นฐานสุขภาพแทบทุกรายการจะใส่เกลือ ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งต้องงดเกลือครับ แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้องซีเรียสครับ ยิ่งท่านอ่านหนังสือแนวนี้ ท่านจะพบว่ารายละเอียดแต่ละเล่มจะแตกต่างกัน อ่าน20เล่มก็เจอรายการต่างกัน20รายการ แถมบางเรื่องรายการเล่มนี้บอกให้ทานได้,ให้ใช้ได้ แต่เล่มโน้นบอกห้ามทาน,ห้ามทำก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ เหมือนผมตอนแรกๆอ่านหลายเล่มก็สับสนสุดท้ายก็ยึดหนังสือของน.พ.เกอร์สันเป็นหลัก แต่พอทำตามหนังสือของน.พ.เกอร์สันได้ประมาณ2ปีก็ติดปัญหาจาม,ไอหอบหืด,แผลร้อนในเยอะมากก็ลองอ่านของอ.ใจเพชร ท่านมีผักฤทธิ์เย็น,ผลไม้ฤทธิ์เย็น ผักพื้นบ้าน ผลไม้พื้นบ้านก็มาปรับใช้ อาการที่กล่าวมาก็ดีขึ้นมาก ผมเลยซาบซึ้งว่าผักผลไม้ของแต่ละประเทศ แต่ละทวีป ก็เหมาะกับคนท้องถิ่นนั้นๆ ผักผลไม้ของอ.เกอร์สันก็เหมาะสำหรับฝรั่งอเมริกา ส่วนคนไทยเราผักพื้นบ้านฤทธิ์เย็นนี้แหละที่ดีที่สุดครับ
สำหรับผมเอง มื้อเช้าจะทานข้าวกล้องสวย 1 จานกับผัดผักรวม1จานก็ผัดโดยใช้น้ำแทนน้ำมัน ผักก็เป็นผักพื้นบ้านเช่น ผักหวาน,ผักตำลึง,มะเขือ,ผักกวางตุ้ง, ผัดไม่ใส่เกลือ,ไม่ใส่น้ำปลา
แรกๆที่ผมต้องทานอาหารแบบนี้ ผมก็ต้องฝืนกินครับ เพราะมันจืดสนิท แต่พอผ่านไปซัก1เดือนก็เริ่มรับได้กับรสชาดหวานอ่อนๆของน้ำผัก เพราะฉะนั้นนิสัยความชอบในรสชาติฝึกกันได้ครับ ส่วนมื้อกลางวันผมมักทำสลัดพื้นบ้านสดๆ เช่น ผักบุ้งนา,ยอดฟักทอง,ผักหวาน,กะหล่ำดอกดิบๆ บร็อคโครี่ดิบๆ,ก้านสายบัว หั่นรวมกันซักถ้วยชามหนึ่ง แล้วบีบมะนาว ราดด้วย Flax Seed Oil 2 ช้อนชา (สั่งซื้อได้ทาง WWW.STATMX.COM   ครับ) แล้วคนให้ผักทุกอย่างให้เข้ากัน ค่อยๆทานไปช้าๆ บางวันพอมีลิ้นจี่ก็แกะเนื้อลิ้นจี่ผสมเข้าไปด้วย มีมะม่วงห่ามๆก็ซอยมะม่วงห่ามผสมเข้าไปด้วย ส่วนมื้อหัวค่ำก็ทานข้าวสวยกล้อง 1 จานทานกับน้ำพริกมะเขือเทศ (ตำกระเทียมพอเล็กน้อย พอได้กลิ่นแล้วใส่มะเขือเทศซอยตำเข้าไปบีบมะนาวลงไปอีก) 1 ถ้วยทานกับผักสด 1 จาน เมนุอาหารพอทำไปซักระยะหนึ่ง เราเริ่มเบื่อแต่ให้ท่านอดทนเพื่อให้ได้เพราะการกินการอยู่ในแนวนี้จะซ้ำซาก,จำเจและเหงา (เพราะทานอยู่คนเดียว) แต่มันเป็นแนวทางที่เก็บชีวิตเราได้นะครับ
อ่านต่อในช่องความเห็นครับ....
ผมมีประสบการณ์ตรงกับอ.ใจเพชร มีผู้ป่วยมะเร็งบางรายมาขอคำแนะนำจากผมไป ผมก็ให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแนวเกอร์สันไปทั้งหมด ทั้งอาหารแบบนี้ ทั้งการสวนกาแฟ,ทั้งการดื่มน้ำคั้นผักผลไม้สด แต่พอผู้ป่วยกลับไปทำได้สักระยะหนึ่ง คนรอบๆข้างรวมถึงแพทย์เริ่มบอกว่า อาหารแบบนี้ไม่ดี เพราะผู้ป่วยได้สัดส่วนอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ต้องทานเนื้อสัตว์,ไขมันด้วย พอผู้ป่วยกลับไปทานตามคำแนะนำดังกล่าว อีกไม่กี่สัปดาห์มะเร็งกำเริบมากขึ้นมีน้ำท่วมปอด,มีท้องมานน้ำ ทรมานมาก อันที่จริงที่ต้องรู้ก่อนคือ อาหารแนวเกอร์สันเป็นอาหารสำหรับรักษามะเร็ง ดังนั้นอะไรที่ทานเข้าไปแล้วจะไปส่งเสริมให้มะเร็งเจริญเติบโตลุกลาม ต้องตัดสิ่งนั่นอออกให้หมด ทั้งผมเองกับอ.ใจเพชรเองก็มีความเห็นตรงกันว่า สำหรับผู้ป่วยมะเร็งนั้นกินมังสวิรัตอย่างเดียวดีที่สุด ผมยืนยันว่าอาหารแนวนี้มีโปรตีนจากพืชผัก,ผลไม้สดพอครับ แล้วอย่าลืมนะครับยังมีน้ำคั้นผักน้ำคั้นผลไม้สดที่เราต้องดื่มให้ได้ 10-13 แก้วต่อวัน ในน้ำคั้นนี้มีเอ็นไซม์ (ซึ่งเป็นโปรตีน) เยอะครับ เพียงพอกับร่างกาย อีกอย่างครับ ร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่ร่างกายเด็กที่ต้องการการเจริญเติบโตอีก ร่างกายผู้ใหญ่ต้องการโปรตีนไปสร้างสารโปรตีนให้เซลล์ได้ใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งปริมาณโปรตีนจากผักผลไม้พอครับ  ดั้งนั้นทานอหารแบบเกอร์สันนี่แหละดีแล้ว อย่านอกลู่นอกทางนะครับ เพราะมะเร็งมันร้ายมาก มันเป็นกับผู้ใดมันก็มุ่งหมายฆ่าผู้นั้นตลอดเวลา ฉะนั้นอย่าได้ประมาทมันนะครับ!
ข้อปฏิบัติตัวอื่นๆ
ยังมีข้อปฏิบัติตัวรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆที่ผมจะบอกอีกหน่อยครับ
น้ำที่ใช้อาบ  ควรเปิดน้ำประปาใส่ถังอาบทิ้งไว้สัก 1-2 วันเพื่อให้คลอรีนระเหยให้หมด เพราะคลอรีนเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยมะเร็ง คลอรีนถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้
น้ำบ้วนปากเวลาแปรงฟัน  ให้ใช้น้ำกรองสำหรับดื่มมาบ้วนปากนะครับ ห้ามใช้น้ำประปาบ้วน เพราะคลอรีนดูดซึมผ่านกระพุ้งปากได้ง่ายครับ
ยาสีฟัน  ใช้ยาสีฟันเจ้าพระยาอภัยภูเบศรธรรมชาติที่สุด ใช้ขนาด 1 เมล็ดข้าวโพดพอ แปรงเช้า-ก่อนนอน
สบู่ยาสระผม ใช้ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรดีสุด
เสื้อผ้า อย่าซักเอง ควรมีคนซักหรือซักเครื่อง เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องหลีกเลี่ยงสารเคมีทุกรูปแบบ
ห้ามลงเล่นน้ำทะเล เพราะเกลือในน้ำทะเลถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้
ห้ามลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ เพราะสระว่ายน้ำเขาใส่คลอรีนเยอะมาก คลอรีนเป็นอันตราบต่อผู้ป่วยมะเร็ง
ห้ามเข้าไปใกล้บริเวณที่มีการฉีดพ่นสารเคมีทางเกษตรกรรม เช่น บริเวณสวนไร่นาที่พ่นยาฆ่าแมลง สนามกอล์ฟ
หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตอนช่วงปีแรกผมอยู่ในแนวทางเกอร์สัน ผมปิดโทรศัพท์มือถือตลอด เตาไมโครเวฟก็ห้ามใช้ ทีวีผมจะดูให้น้อยที่สุด
เรื่องการออกกำลังกาย  น.พ.เกอร์สันจะเน้นให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มาเข้าแนวทางเกอร์สันพักให้มากๆแม้ช่วงแรกๆที่มาเข้าแนวทางนี้จะรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวสดชื่น แต่ท่านก็ให้พักอย่าเพิ่งออดกำลังกาย ท่านเองให้เก็บแรงไว้สู้กับมะเร็ง และถ้าอยู่ในแนวเกอร์สันไปได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเจออาการถอนพิษ (ซึ่งถ้าผู้ป่วยที่มาเข้าแนวทางเกอร์สันตั้งแต่แรกเลย ยังไม่ได้ผ่าตัด,ฉายแสงและ/หรือใช้เคมีบำบัด จะมีอาการถอนพิษเด่นชัดมาก แสดงว่าร่างกายกำลังตอบสนองไปในทางที่ดี) อาการถอนพิษบางทีทำให้เพลียได้ ทางสถาบันเกอร์สันแนะนำว่า ถ้าจะออกกำลังกายก็ทำได้หลังเข้าคอร์สไปแล้ว 3 เดือนขึ้นไป โดยเริ่มออกกำลังกายเบาๆจนไปถึงเดินเร็วได้ พอเริ่มรู้สึกเหนื่อยก็พัก
งดใช้เครื่องสำอาง ,สเปรย์หรือลูกกลิ้งดับกลิ่นกาย,ห้ามย้อมสีผม,ห้ามใช้น้ำหอม,ห้ามใส่เจลแต่งทรงผม,ห้ามใช้สเปรย์เซ็ททรงผม,ห้ามทุกอย่างที่เกี่ยวกับเคมีเสริมสวย,เสริมหล่อ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องห้ามรับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายทุกรูปแบบ