วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมืองไทยในสายตาคนสิงคโปร์

คนไทยว่าอย่างไร
จาก: จรรยา มีนะพันธ์
ส่ง: 4 พฤศจิกายน 2011 10:37
ถึง:
เรื่อง: ส่งต่อ: เมืองไทยในสายตาคนสิงคโปร์ (pls read)

จากเว็บไซต์ http://www.gotoknow.org/comments/2563122?locale=en


ไม่รู้ว่าควรร้องไห้ หรือดีใจดี ที่มีคนเข้าใจคนไทยได้ดีมากกกก...เก็บมาแบ่งปันกัน


เมื่อวานผมได้มีโอกาสเสวนากับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งจากสิงคโปร์
มีเรื่องน่าสนใจมาเล่าแชร์ให้ฟังครับ
เป็นสามชั่วโมงของการสนทนาที่ได้ความรู้มากครับ


1. เขาบอกว่าอายุขัยของกรุงเทพนั้น
จากการคำนวนของนักวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยา รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา
ของสิงคโปร์ เค้าบอกว่า มีอายุอีกราวๆ 19 ปี ถ้าไม่มีการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น
(เค้าใช้คำว่า
Life span of Bangkok City)

2. หลากหลายเรื่องราวที่เราเห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเรานั้น
จริงๆ แล้วเป็นฉากละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้ชม(คนไทย)นั้นเชื่อไปอย่างนั้นเอง
เช่น การทำเหมือนเป็นศัตรูกันของนักการเมือง

แต่แท้จริงแล้วทะเลาะกันบังหน้า เพื่อผลประโยชน์ฮั้วกันลับหลัง

หลายๆอย่างที่เราเห็นนั้น รัฐบาลของเค้ามีส่วนอยู่ด้วย
เชื่อไหมครับว่า เงินของทักษิณที่โอนไปเกาะเคย์แมนนั้น
รัฐบาลสิงคโปร์ เป็นคนฟอกเงินให้และจัดการส่งไปให้


3. เค้าบอกว่า ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล สุดท้ายเข้าสู่วงจรโกงกินอยู่ดี

แน่นอนเพราะผลประโยชน์และเงินสกปรกจะถูก Offer มาโดยรํฐบาลของเค้าเอง

รวมถึงนักธุรกิจใหญ่ๆจากหลายชาติ โดยเฉพาะสิงคโปร์

ฉะนั้นอย่าไปหวังเลยว่า สีเหลืองแดง อะไรทั้งหลาย
เขาบอกว่าหนีไม่พ้นหรอก ต่อให้ใครขาวสะอาดมาแค่ไหน
สุดท้ายก็ทนเงินก้อนโตที่ถูกยัดให้ปิดปากไม่ไหว


4. 20 ปีก่อน
รัฐบาลไทยเคยเชิญรัฐบาลสิงคโปร์ นำผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อทำการวิเคราะห์ว่า

ทำยังไง ถึงจะแก้ปัญหาผังเมืองและการขนส่งคมนาคม ผลสรุปคือ แก้ไมได้
เพราะผังเมืองผิดแต่แรกแล้ว
เค้าแนะนำให้ ย้ายเมืองหลวงหรือไม่ก็ขยายออกรอบนอกไปไกลๆ แล้วตั้งผังเมืองใหม่
จากวันนั้น-จนวันนี้ ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด
ผิดกับรัฐบาลของสิงคโปร์ ที่จัดทำการวางผังและปรับปรุงตลอดเวลาใหม่
ควบคุมแม้กระทั่งการกระจายตัวของชนชาติต่างไม่ให้กระจุกตัว เพื่อสร้างสังคมเฉพาะใหม่ๆขึ้นมา
รวมไปถึง มีการสร้างเขื่อนกำแพงรอบและประตูกั้นน้ำ

เพื่อป้องกันปัญหา Global warming และน้ำทะเลสูงขึ้นจนท่วมเมืองสิงคโปร์


5. คนไทยนั้น เป็นสังคม idol กล่าวคือ เชิดชู บูชา "คนที่เด่นดัง"

โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี (ไม่ว่าอยู่ข้างไหนก็ตาม) ฉะนั้นการชนะใจคนไทยนั้นง่ายมาก

จากเหตุนี้ การเข้ายึดประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยากเลย สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ

พ้น 19 ปี น้ำทะเลจะหนุน จนทำให้เกิดการท่วมถาวรในบางพื้นที่
จนสุดท้าย อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ ทั้งหลาย ที่เคยลงทุนไปโดยรัฐบาล

จะใช้ไม่ได้ เสียเงินลงทุนไปเปล่าๆ
เค้าบอกว่า ถ้ายังทะเลาะกันไม่เลิกแบบนี้ ก็เตรียมขายที่ดินใน กทม ทั้งหมดได้เลย


6. พอเริ่ม AEC เมื่อไหร่ คนไทยรากหญ้าจะเป็นกลุ่มแรก ที่ซวยที่สุด
ตามมาด้วยตระกูล SMEs ทั้งหลาย


7. เค้าบอกว่า อย่าได้คิดว่า คนที่ดูดีภายนอก (พวกนายกฯ) จะไม่ทำเรื่องสกปรก

คนส่วนมากไม่รู้ แค่นั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น

นายกของสิงคโปร์เอง ลีกวนยู ที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ทั้งหลายแก่สิงคโปร์
ทำให้สิงคโปร์พัฒนามาจนมีวันนี้ เบื้องหลังแล้วนั้น :-
เค้าจับคนยัดข้อหาเข้าคุกมากมายโดยที่ไม่มีความผิดอันใด

แม้แต่เพื่อเขาเองเขาก็ทำมาแล้ว จุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการเสถียรภาพของการปกครอง

บางครั้ง คนที่ยิ่งใหญ่มันก็จำเป็นต้องทำเรื่องเลวๆบ้าง

นายกของไทยกี่คนต่อกี่คนก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น


8. จุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยนั้น จริงๆแล้ว ดีมากๆในแง่ของที่ตั้งและการเชื่อมต่อ
แต่เขาสงสัยว่า ทำไมรัฐบาลไทยมัวแต่ทำอะไรอยู่

ถ้าวางโครงสร้างพื้นฐาน และวางกำหนดทิศทางประเทศให้เป็น Center of Asean Distribution ให้ดี
ป่านนี้ คงจะเจริญไปไกลแล้ว


9. ทั้งไทย และมาเลเซีย รวมถึงเวียดนาม มีปัญหาเดียวกันคือ
"การรับเงินสกปรกใต้โต๊ะ" การจะเป็นเจ้าของสัมปทานอะไรบางอย่าง หรือธุรกิจอะไรที่จะผูกขาดบางอย่าง เช่น กลุ่มพลังงานหรือเหมืองแร่ธาตุสำคัญอะไรทั้งหลาย
ทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะคน "ซื้อ" กันได้


10. เค้าแนะนำให้รัฐบาลหาทางเปลี่ยนโครงสร้างของ "ค่านิยมและความคิด" ของประชากรไทย
ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ไม่อย่างนั้นเราก็จะอยู่แค่นี้
คนที่รวยจะรวย คนที่จนจะยิ่งจน

และสุดท้ายโครงสร้างของชนชั้นทางสังคม จะกลายเป็น M society กล่าวคือ

M ไหล่ซ้ายแทนคนรวย
M ไหล่ขวาแทนคนจน

แปลว่า คนชนขั้นกลางจะหายไป หรือ เหลือน้อยลงไปมาก
อนาคต จะกลายเป็นเหลือแค่คนจน และข้ามไปคนรวยเลย


11. เค้าบอกว่า คนไทยเป็นสังคมที่แปลกคือ เป็นสังคม "รู้ทั้งรู้"
คือทุกคนรู้ดีว่า อะไรคือปัญหา และทุกคนรู้ดีว่า จะแก้ยังไง
และทุกคนก็รู้ดีว่า จะไปทางไหน

แต่ทั้งๆที่รู้ ทั้งรู้ แต่ก็เหมือน "ไม่ทำอะไร"

ไม่มีความคิดเห็น: