วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พระคาถา

จากเว็บไซต์ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/kata.htm

พระคาถา

คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า
"อิติปิ โส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ"
(พระคาถานี้ถ้าไปเรียนและภาวนา ทำให้เป็นฌานนิมิตต่าง ๆ จะแจ่มในคนที่ตาไม่ดีก็อ่านหนังสืออกได้และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามความประสงค์)
ถ้าจะให้อยู่ยงคงกระพัน พอท่องคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าเสร็จก็ต่อว่า
" ตะโจพระพุทธเจ้าจงมาเป็นหนัง มังสาพระพุทธเจ้าจงมาเป็นเนื้อ อัฐิพระสังฆเจ้าจงมาเป็นกระดูก ตรีเพชรพระคงคา อิสสวาสุ สุสวาอิ พุทธปิติอิ"

พระพุทธคาถา
"สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ"
(ให้สวดทุกคืน ๆ ละ จบ อานุภาพของพระคาถา ศัตรูจะพินาศเองเมื่อคิดประทุษร้าย จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการ จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพจักขุญาณและเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องให้แจ่มใส)


คาถาเงินล้าน
นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมา จะ มหาเทวา อะภิลาภา ภะวันตุ เม
มหาปุญโญ มะหาลาโภ ภะวันตุ เม มิเตพาหุหะติ
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย
วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา
วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมานะ พุทธัสสะ สวาโหม
สัมปะติจฉามิ
เพ็งเพ็ง พาพา หาหา ฤาฤา

คาถาอภิญญารวม
"โสตัตตะภิญญา"
(เวลาภาวนาให้กำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วก็ทิ้งนิมิตเสีย ไม่ต้องไปใช้นิมิตในกสิณ ใช้คาถาอย่างเดียว คือกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ถึงที่สุดเป็นฌานสี่ เท่านี้อภิญญาทุกอย่างก็จะรวมตัวเราใข้ได้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องเลือกกสิณอะไรทั้งหมด)

คาถาพระนิพพานนิมิต
"นิมิตจิตติ นิมิตจิตติ นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา" (อ่านว่า นิพ-พา-นะ-จิต-ตา)
(ให้ภาวนาถือพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้จิตจะมีการผูกพันพระนิพพานเป็นอารมณ์มากขึ้น แล้วก็กำลังจะไม่คลาดจากพระนิพพาน)

คาถาเมฆจิต
"พุทธัง เมฆนิมิตต์ จิตตัง มะอะอุ ธัมมัง เมฆะนิมิตต์ จิตตัง อุอะมะ สังฆัง เมฆะนิมิตต์ จิตตัง อะมะอุ"
(ภาวนาไป ๆ แล้วกำหนดรู้ในสิ่งที่ต้องการจะรู้ ตอนภาวนากำหนดจิตให้เห็นภาพพระไปด้วยยิ่งดี ให้ถือเอาอารมณ์จิตรู้อารมณ์แรก ถ้าจิตดีขึ้นก็จะเห็นภาพ)

คาถารวมจิต

"อิติ สัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง"
(ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมา ให้ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด กำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วว่าคาถานี้ตามสบาย ๆ กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว)
 

คาถาพระอินทร์

"สหัสสเนตโต เทวินโต ทิพพจักขุง วิโสทายิ"
(คาถาบทนี้เหมาะสำหรับเด็กนักเรียน บอกว่าเวลาก่อนที่จะดูหนังสือ ให้ไหว้พระ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ นึกถึงบิดามารดา ความดีของท่าน นึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วนึกถึงพระอินทร์เจ้าของคาถา แล้วว่าสัก 1 จบ แล้วก็ดูหนังสือ เมื่อจะเลิกจากอ่านหนังสือก็ว่าสักอีก 1 จบ วันแรก ๆ ก็อาจจะจำไม่ได้ แต่วันต่อไปก็อาจจะคล่องตัวขึ้นมาเอง)

คาถาพระยายม

"นะโมพุทธายะ"
(เป็นคาถาของท่านพระยายม คาถานี้รักษาโรคไม่หาย กันไม่ให้ตายก็ไม่ได้ แต่สามารถระงับทุกขเวทนาได้ ก่อนจะว่าให้จุดธูป 5 ดอก จุดเทียน 1 เล่ม มีดอกไม้ก็ใช้ได้ และนึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์เสียก่อน และพระยายมด้วย แล้วเป่าที่ศีรษะของผู้ป่วยค่อย ๆ เบา ๆ โดยนั่งทางด้านเหนือของศีรษะของเขา นึกขอให้ทุกขเวทนาระงับไป)

คาถานวด
"อิมัสมิงมาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ"
(หลวงพ่อให้ที่บ้านสายลม ให้นึกถึงพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด)

คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์
"สัมปจิตฉามิ"
(ก่อนภาวนาให้ตั้งนะโม 3 จบ และต่อด้วยพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ และสวด อิติปิโสฯ 3 จบ จึงภาวนาเรื่อยๆ ไปในขณะที่ภาวนาให้ทำใจสบาย ๆ ผลของคาถาบทนี้ จะมีผลต่อผู้สั่ง รับคำสั่ง ผู้ร่วมมือ และผู้กระทำไสยศาสตร์มายังเราโดยฉับพลัน)

คาถามหาอำนาจ

เอวัง ราชะสีโห มะหานาทัง สีหะนาทะกัง สีหะนะเม สีละเตเชนะ นามะ ราชะสีโห, อิทธิฤทธิ์ พระพุทธัง

รักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง, อิทธิฤทธิ์ พระธัมมัง

รักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง, อิทธิฤทธิ์ พระสังฆัง

รักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง.

(ใช้เสกล้างหน้าทุกเข้า จะมีอำนาจคนยำเกรง ศัตรูพ่ายแพ้)


คาถาอิทธิฤทธิ์

พุทโธ พุทธัง น กันตัง อะระหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ

(เป็นคาถาป้องกันตัว เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีศาสตราวุธร้ายแรงทุกชนิดทั้ง มีด ไม้ ปืน หรือระเบิด ให้ภาวนาดังนี้)

"อุทธัง อัทโธ นะโม พุทธายะ"


คำภาวนาซึ่งพระนิพพาน

อิมานิ ปุญญะกัมเมนะ นิพพานัง ปะระมัง สุขัง อะนาคะเต กาเล.

(แปล..ขอข้าพเจ้าจงได้ถึงพระนิพพาน อันเป็นสุขอย่างยิ่ง ด้วยกรรมอันเป็นบุญนี้ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าเถิด)



วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีในการป้องกันน้ำท่วมจากทั่วโลก

ประเทศไทย ใช้ถุงน้ำแทนถุงทราย

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://news.mthai.com/hot-news/134561.html































บ้านสู้น้ำท่วม







วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

กลโกงหลอกจับลิขสิทธิ์ พร้อมวิธีป้องกันตัว

ข้อมูลจาก ชมรมร้านอินเตอร์เน็ตจังหวัดอุดรธานี

ยุคนี้มีการหากินกันแปลกๆเกิดขึ้นเยอะ
การละเมิดลิขสิทธิ์กำลังเป็นที่จับตาในสังคม จึงเกิดกลุ่มคนที่คิดค้นอาชีพจับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ นั่นคือ
อาชีพจับของละเมิดลิขสิทธิ์ ครับ ใครมีญาติหรือเพื่อนโดนรงแก
หรือยังไม่โดนก็โปรดนำไปให้อ่านด้วยนะครับ การจับของแท้จากเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง
ทำเพื่อให้คนหันมาใช้ของแท้ ไม่ใช่ทำเพื่อเรียกเงินเกินจริงจากเหยื่อ
พูดง่ายๆคือ ตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์ในลิขสิทธิ์นั้นๆ แต่ไปสมัครเพื่อไปไถเงินคนครับ
แต่ถ้าทำตามกฎมันก็ไถเงินได้น้อยครับ คนจึงไม่เล่นตามกฎหมาย ใช้วิธีไถเงินและข่มขู่แทน
ที่จริงมันไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตครับ แต่ร้ายแรงตรงที่เป็นภัยสังคมครับ ผู้เสียหายจะโดนไถเงินรายละ 10000-50000
บาท แต่ที่ผมบอกว่าร้ายแรงเพราะว่า มีคนโดนไปทั่วประเทศแล้วครับ
จุดเริ่มต้นแก๊งไถเงินครับ
1. เริ่มด้วยการตั้งบริษัทจำกัด แล้วรวบรวมขอซื้ออำนาจดำเนินคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
จากเจ้าของลิขสิทธิ์จริงเท่าที่ทำได้ เช่น เพลง กระเป๋า น้ำหอม เกม การ์ตูน
โดยบริษัทเหล่านี้จะอ้างคุณธรรม ตั้งเพื่อปราบผู้ละเมิดลิขสิทธิ์
2. บริษัทเหล่านี้จะหาตัวแทน(ก็คือการรับพนักงานบริษัทตัวเอง)
3. ตัวแทนเหล่านี้จะหาสมาชิกแบบขายตรงเลยครับ เรียกว่าผู้รับอำนาจช่วง
4. ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองครับ แต่ก็มีโรงพักบางแห่งไม่ให้ความร่วมมือกับพวกโจร
5. เดินสายจับแบบผิดกฎหมายทีละจังหวัด ย้ายไปเรื่อย วนเวียนกลับมาทุกๆ 3-6เดือน
6. มีการทำธุรกิจนี้มาหลายปีแล้วครับ ประมาณ 7 ปี
รายได้ตัวแทนพวกนี้จะรวยมาก รายได้เกินจะคาดเดา แต่ที่พบเห็นคือสามารถออกรถป้ายแดงกันทุกคน BMW
ก็มี บางกลุ่มออกรถแวนป้ายแดงราคา 6 ล้านก็มี หัวหน้าบางคนทำจนมีเงินฝากถึง 200 ล้านบาท
เห็นมั้ยครับว่าการตั้งบริษัทถูกกฎหมาย แต่ดูเจตนาการตั้งสิครับ
เจตนาไม่ได้ทำเพื่อปราบหรือให้คนหันมาใช้ของแท้ แต่ทำเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าครับ
อ้างถึงการไถแต่ละเเบบมีดังนี้ครับ
อ้างถึงการไถเงินร้านซ่อมคอมพิวเตอร์
1. ไถแบบจับลิขสิทธิ์เพลงที่มีอยู่ใน โปรแกรม NICK KARAOKE
1.1 หน้าม้าจะมาตีสนิทร้านคอมพิวเตอร์ด้วยการนำคอมพิวเตอร์มาซ่อมก่อน 1 เครื่อง
1.2 อีก2-3 วันหน้าม้าจะนำเครื่องคอมมาอ้อนวอนให้ลงโปรแกรม NICK ตกลงนัดรับเครื่องกันโดยดี
1.3 วันรับเครื่อง พวกนี้จะจ้างตำรวจมา 2 คน(คนละ500) โดยตำรวจจะออกตัวว่าไม่ได้มาจับมาดูแลความสงบ
1.4 ไถเงิน 50000 บาทแล้วจะไม่เอาความผิดโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของเพลง 2-3 เพลง ในโปรแกรม
NICK โดยตัวแทนลิขสิทธิ์พวกนี้จะไปขอลิขสิทธิ์เพลงเก่าๆ ราคาถูกๆ
1.5 หากรายไหนหัวแข็งจะพาไปโรงพัก โดยตำรวจร้อยเวรจะกล่อมให้จ่าย (มันจะเลือกแจ้งความเวลาที่100เวร ที่ร่วมแก๊งเข้าเวร)
1.6 จะโดนตำรวจขู่มากมาย เช่น ประกันเป็น 100000 หรือหากขึ้นศาลจะโดนปรับเป็น แสนๆ โม้ครับ ประกันจริง 50000
บาท ศาลไม่ปรับครับเจ้าของร้านชนะแน่นอน
วิธีแก้ไขเบื้องต้น- อย่าคุยกับพวกมันไล่พวกมันกลับไป คุณไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น แม้แต่โรงพัก เพราะมันไม่มีหมายศาล
หมายค้น- หากพวกมันดื้อไม่กลับก็ปิดร้าน โทรตามพวกมาเย๊อะๆ- อย่ายอมจ่ายเงินให้มันเด็ดขาด ถ้าจะจ่ายก็จ่ายให้มันไป
200 บาท บอกว่าช่วยค่าน้ำมันรีบๆกลับบ้านไปเถอะ- ถ้ามันโง่มากไม่รู้กฎหมายยังดื้อแจ้งความ
ก็ไม่ต้องจ่ายอยู่ดีครับ คดีล่อซื้อแบบนี้ศาลยกฟ้องครับ คุณชนะแน่นอน-
แต่ส่วนใหญ่พวกนี้ไม่โง่ขนาดนั้น มันไม่ฟ้องศาลหรอกครับ ถ้าไม่จ่ายมันก็กลับไปเฉยๆ
ต่อให้ฟ้องไปแล้ว พวกตัวแทนไม่มาขึ้นศาลหรอกครับ คุณก็ชนะอยู่ดี
2. ไถแบบจับลิขสิทธิ์โปรแกรม WINDOWS/MICROSOFT OFFICE /PHOTOSHOP และอื่นๆ
ที่ทางร้านลงให้ลูกค้า เนื่องจากร้านซ่อมคอมซ่อมคอมให้ชาวบ้านธรรมดา โดยคิดค่าซ่อมครั้งละ 300-500
บาท จึงไม่อาจให้ชาวบ้านซื้อโปรแกรมแท้ให้กับเครื่องที่มาซ่อมได้ หากซื้อของแท้ ค่าซ่อมอาจจะสูงถึง 100000 - 200000
บาท ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ แสน-สองแสนครับ แล้วใครจะบ้ามาซ่อมล่ะครับ พวกโจรจึง
คิดวิธีหากิน
2.1 เอาคอมมาให้ลง windows และโปรแกรมที่ลิขสิทธิ์แพงๆ โดยอ้างว่าซื้อ PC มาจากห้างแบบไม่มี
OS (อ้างโง่ๆชาวบ้านที่ไหนจะโง่ซื้อคอมจอดำๆไม่มีwindowsมาใช้)
2.2 เอาคอมเก่ามาให้ลง windows และโปรแกรมที่ลิขสิทธิ์แพงๆ
2.3 เข้าจับเหมือนเดิมเรียกเงิน 50000 บาท แบบข้อ 1 ไถแบบจับลิขสิทธิ์เพลงที่มีอยู่ใน โปรแกรม NICK KARAOKE
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
- หากมีคนนำคอมใหม่ที่บอกว่าไม่มี windows มาขอให้ลง windows และโปรแกรม ก็ปฏิเสธอย่าลงให้เด็ดขาด
- ให้ทำเอกสารซ่อมไว้ และเขียนชื่อโปรแกรมที่เครื่อง PCจำเป็นต้องมี/
ให้ลูกค้าติ๊กในช่องว่าเคยมีโปรแกรมเหล่านั้น
และเขียนชัดเจนว่าทางร้านทำการซ่อมให้ใช้ได้เหมือนเดิมและส่วนโปรแกรมพิเศษต่างๆให้ลูกค้าเขียนเอง
หากมีคนนำคอมเก่ามาให้ลง ก็ให้ลูกค้ากรอกแบบฟอร์มนั้น และให้ลูกค้าเซ็นชื่อ
- อย่าคุยกับพวกมันไล่พวกมันกลับไป คุณไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น แม้แต่โรงพัก เพราะมันไม่มีหมายศาล หมายค้น
- หากพวกมันดื้อไม่กลับ คุณก็ปิดร้าน โทรตามพวกมาเย๊อะๆ
- หากตำรวจพื้นที่นั้นโง่ไม่รู้กฎหมายว่าคดีแบบบนี้ศาลยกฟ้อง จับเจ้าของร้าน แล้วบอกให้เตรียมเงินประกัน 50000
บาท อย่ายอมจ่ายเงินเด็ดขาด
คดีแบบนี้ 99% การเข้าจับไม่มีหมายค้นครับ เพราะเมื่อขึ้นศาล ศาลก็ยกฟ้องครับ จึงไม่มีใครขอหมายศาล
อ้างถึงการไถเงินร้านเกมเพลย์
วิธีหากินมีหลายรูปแบบครับ
1. ไถแบบจับลิขสิทธิ์เกมในร้าน มีวิธีดังนี้
1.1
คน ที่จะหากินในทางนี้จะตรวจดูว่าเกมไหนที่กำลังฮิตและไม่มีลิขสิทธิ์ เมื่อพบจะทำทุกวิถีทางติดต่อกับต่างประเทศเพื่อขอเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์
1.2 ตะเวนจับร้านเกม โดยการเข้าจับใช้ขั้นตอนที่ผิดกฎหมาย โดยจะจ้างตำรวจมา 2นาย
ตำรวจได้คนละ500บาท(แต่ตำรวจจะออกตัวว่า มาดูแลความเรียบร้อย)
1.3 เมื่อเข้าจับจะยังไม่เอาผิดตามกฎหมาย แต่จะไถเงินจำนวน 50000 บาทขึ้นไป
(ถ้าเอาผิดตามกฎหมายจะได้เงินน้อย เพราะศาลจะให้ชดใช้ตามจำนวนจริง ประมาณ 2000 บาท)
1.4 เหยื่อส่วนใหญ่จะตกใจและกลัว จะยอมจ่ายเงินให้ 5000 บาท หรือต่อรองเหลือ 40000 30000 10000
เมื่อได้เงิน พวกลิขสิทธิ์จะรีบกลับโดยเร็ว
วิธีแก้เบื้องต้น
- อย่ายอมจ่ายเงินทุกๆกรณี เพราะของแท้จะไม่เรียกเงินและของแท้จะไม่มาจับกระจอกๆแบบนี้ครับ
2. ไถแบบยัดเยียดหัวเกรียนเล่นผิดเวลา หากร้านไหนใช้เกมแท้ทั้งหมดจะเจอไม้นี้แทน
อ้างถึงการไถเงินตลาดนัดอันนี้เลวสุดๆเล่นงานคนจน วิธีการมีดังนี้1.
โจรจะเดินดูและจดรายการของที่มีลิขสิทธิ์ที่มีในตลาดนัด เช่นนาฬิกา เสื้อผ้า ตุ๊กตา กระเป๋า ผ้าเช็ดหน้า
ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวที่มีลายอุลตร้าแมน โดราเอม่อน2.
เมื่อได้รายการจะไปขอเป็นตัวแทนจากบริษัทที่เป็นเจ้าของจริง แล้วก็เข้าจับแบบเดิม3. ส่วนใหญ่ 99%
จะของปลอม เข้าจับแบบข่มขู่ เรียกเงิน 50000 บาท ต่อรอง 10000 มันก็รีบเอาแล้วเผ่นหนี
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
- โวยวายด่าแหลกแบบแม่ค้า โมโหเก็บของกลับบ้านไม่ต้องสนใจใคร
- 99% ของปลอม เล่นบทโหดใส่ รีบกลับบ้าน ไม่มีใครทำอะไรคุณได้ครับ ย้ำว่าลิขสิทธิ์ของแท้ ไม่มาจับแม้ค้าแบบนี้หรอกครับ
- หากมีลิขสิทธิ์ของจริง หากหน้าด้านมาจับ คุณก็ยอมเค้าไป เพราะคุณผิดจริง
ยอมโดนจับแล้วขึ้นศาลนะครับ อย่าจ่ายเองเด็ดขาดให้ศาลสั่งเท่านั้น คุณจะโดนปรับจริงๆไม่เกิน 2000 บาท
- ศาลจะให้จ่ายตามความเสียหายจริงครับ เช่น ปลอกหมอน 150 บาท10ผืน ของคุณทำความเสียหาย 1500
บาท ศาลก็จะสั่งปรับแค่นั้น ไม่มีในโลกครับที่ปรับ 50000 บาท
อ้างถึงทั้งหมดนี้ที่เรียกว่าของปลอมถึงแม้บางคนจะเป็นตัวแทนจริงๆ ก็เพราะ วิธีการเข้าจับของพวกมัน
ผิดกฎหมายครับ ธุรกิจนี้ผลตอบแทนมหาศาลครับ เพราะเจ้าหน้าที่ร่วมด้วย ปราบยากครับ
อันนี้คือลิ๊งค์ รายชื่อตัวแทนผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของแท้
ครับ เว็บของกรมทรัพย์สินทางปัญญาครับ ก็อบปี้ต่อกันดีๆนะครับ ไม่งั้นเข้าเว็บไม่ได้
ปล. ผมไม่ได้มาสอนให้คนโกงนะครับ
หากเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จริง จับตามขั้นตอนกฎหมายจริง เรียกเงินตามจริงนั้น ผมสนับสนุนครับ
แต่การเรียกเงินตามศาลสั่งนั้น ของแท้จะรู้ว่าถ้าจับแบบรังแกชาวบ้านจะได้เงินน้อยอาจจะแค่ 2000
บาท ดังนั้นของแท้จะจับโรงงานปั้มแผ่น หรือโรงงานผลิตครับ ของแท้ สังเกตุง่ายๆครับ ส่วนใหญ่จะมี 2
แบบ จะไปกับตำรวจกอบปราบครับ และจะไปกับตำรวจเศรษฐกิจครับ
อ้างถึงข้อกฎหมาย ที่ต้องรู้ครับ
ล่อซื้อพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 66 บัญญัติว่า ความผิดตามพ.ร.
บ.ลิขสิทธิ์เป็นความผิดอันยอมความได้ผลทางกฎหมายคือ เจ้าของลิขสิทธิ์จะต้องร้องทุกข์ภายใน 3
เดือน นับแต่รู้ตัวผู้กระทำละเมิดและรู้ถึงการละเมิด
มิฉะนั้นจะขาดอายุความร้องทุกข์ และการแจ้งความร้องทุกข์จะต้องกระทำโดยผู้เสียหาย
หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายจะต้องเป็น
"ผู้เสียหายโดยนิตินัย"แต่หากผู้เสียหายเป็นผู้มีส่วนร่วม
หรือก่อให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น
ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีอำนาจฟ้องคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำพิพากษาฎีกาที่
4301/2543
การ ที่จำเลยกระทำความผิดโดยทำซ้ำบันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ของ โจทก์ลงในแผ่นบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้แก่ส.
ตามที่ส.ได้ ล่อซื้อ นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากการล่อซื้อของส.
ซึ่งได้รับการจ้างให้ล่อซื้อจากโจทก์
เท่ากับโจทก์เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น โจทก์ย่อมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
เพราะฉะนั้น การล่อซื้อและการส่งหน้าม้ามาลงเพลงในคอมพิวเตอร์/
การล่อเล่นในกรณีเกมส์เพลย์ จึงเป็นกรณีที่เจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น
ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกานี้ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้อง
อ้างถึง
ข้อย่อยที่ช่วยได้เบื้องต้น ยาวแต่ต้องอ่านนะครับ มันสำคัญทุกข้อครับ
1. จับกุมลิขสิทธิ์ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น ถ้ามาตอนมืด ถึงจะถูกต้องก็ไล่กลับไปได้เลย
2. หากมีคนอ้างเป็นตัวแทน ขอดูบัตรประชาชน
ดูใบรับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์
ดูบัตรของผู้รับมอบจะต้องมีบัตรของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถ้าไม่ให้ดูไล่พวกมันกลับไปได้เลย
3. การล่อเล่นของหน้าม้า เป็นการร่วมกระทำความผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์
4. ร้านคอมฯปฏิเสธไม่ให้ตรวจเครื่องคอมฯได้นะครับถ้ามันไม่มีหมายค้น ในส่วนของตัวร้าน
(สาธารณสถาน)อยากตรวจก็ให้ตรวจไป
แต่เครื่องคอมฯไม่ใช่สาธารณสถานเรามีสิทธิปฏิเสธไม่เปิดให้ตรวจสอบได้5.
ตัวแทนลิขสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์อธิบายขั้นตอนการจับกุม
กฎหมายเขียนชัดเจนให้เป็นหน้าที่ของตำรวจชุดจับกุมให้เป็นผู้จัดทำบันทึกการจับกุม
ไม่มีกฎหมายให้อำนาจราษฎรทำเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยข้อหนึ่งได้ว่า มันมั่วนิ่มไม่รู้กฎหมายแล้วมาจับ
6. ราษฎรก็จะช่วยตำรวจจับไม่ได้แม้ตำรวจจะขอให้ช่วยจับ
เพราะ ตำรวจจะขอให้ราษฎรช่วยจับได้ต้องเป็นผู้จัดการตามหมายจับเท่านั้น (เช่น
โจรที่มีหมายจับ)
แต่การจับละเมิดลิขสิทธิ์ในความผิดซึ่งหน้าไม่ใช่การจัดการตามหมายจับ
เราจึงมีสิทธิป้องกันการจับกุมอันมิชอบด้วยกฎหมายทั้งปวงกับราษฎรที่มาช่วยจับได้ตามสมควร
(ต่อสู้ป้องกันตามสมควร อย่าให้ถึงตายนะครับ แบบนั้นติดคุกฐานฆ่าคนตาย ควรใช้กระบองป้องกันตัว) ไม่มีความผิดทางอาญาใดๆ
7. การล่อเล่น ไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจ ราษฎรก็ล่อเล่นได้
(แต่การล่อเล่นในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ถือเป็นการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
ศาลจะยกฟ้อง) เหมือนข้อ 3
8. จะเป็นความผิดซึ่งหน้า ต้องดูที่ลักษณะของการกระทำ ไม่ใช่ดูที่ตัวผู้ล่อเล่นว่าเป็นตำรวจหรือไม่เป็นตำรวจ
ความผิดซึ่งหน้า หมายถึง ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ
หรือพบในอาการใด ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ
(ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 80)
9. ดูที่ประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญามาตรา 79
ราษฎรก็สามารถจับความผิดซึ่งหน้าได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ
แต่ต้องเป็นความผิดบางประเภทเท่านั้น (คือความผิดที่บัญญัติไว้ท้ายประมวลป.วิอาญา) เช่น ฐานฆ่าคนตาย
เป็นต้น แต่ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่ความผิดท้ายประมวลฯ ราษฎรจึงจับไม่ได้แม้เห็นความผิดเกิดขึ้นซึ่งหน้า
10. การละเมิดลิขสิทธิ์ต้องเกิดซึ่งหน้าตำรวจเท่านั้นเช่นนั่งไลท์แผ่นต่อหน้าต่อตาตำรวจ
ตำรวจจึงจะมีอำนาจจับกุม (และต้องมีการแจ้งความแล้ว
ถ้ายังไม่แจ้งความก็ไม่มีสิทธิ์จับในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์) ถ้าการละเมิดเกิดต่อหน้าตัวแทนบริษัท (หน้าม้า)
แม้จะถ่ายรูปไว้ ถ้าขณะนั้นตำรวจไม่ได้เห็นด้วย (ตำรวจอยู่นอกร้าน-มาทีหลัง) ก็ไม่มีอำนาจจับกุมครับ11.
การค้นในที่รโหฐาน เช่น ส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย ต้องมีหมายค้น ถ้าเข้าไปยึดแผ่นเโดยไม่มีหมาย
ก็เป็นการค้นที่ไม่ชอบ ทรัพย์สินที่ยึดไปไม่สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ต้องห้ามตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้น ถ้าขึ้นศาลก็จะไม่มีพยานหลักฐานนำสืบแสดงว่าเราทำผิด (แม้เราละเมิดจริง
แต่เมื่อไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเราทำผิด เพราะหลักฐานที่ยึด ได้มาจากการค้นที่ไม่ชอบ) ศาลจะยกฟ้อง12.
หลัก ตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งศาลไม่ได้ (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา78 )
ข้อยกเว้น จะจับโดยไม่มีหมายจับก็ได้ เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า
และเหตุอื่นตามที่กฎหมายกำหนด (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 80)
คดีละเมิดลิขสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์จับ แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
เช่นคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายหรือตัวแทนเสียก่อน ตำรวจจึงจะมีอำนาจจับ
ดังนั้น ถ้ายังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ อำนาจจับกุมก็ยังไม่เกิด แม้จะมีการละมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นต่อหน้าตำรวจ ตำรวจก็จับไม่ได้
ปล. จุดไหนผิดพลาดโปรดชี้แนะด้วยครับ
อ้างถึง
การเอาผิดกลับปัจจุบันโทษรุนแรงเพียงพอแล้วครับ
เพียงแต่พวกเราไม่มีใครเอาจริงเท่านั้นเพราะถ้ามั่วนิ่มมา เราก็สามารถเอาผิดได้ หลายข้อหา เช่น
1. ฐานบุกรุก มาตรา 362 และ 364 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำและปรับ มาตรา
365 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ
2. ฐานแจ้งความเท็จ มาตรา 137 จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำและปรับ มาตรา
172 จำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 174 จำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
3. ฐานเบิกความเท็จ มาตรา 177 จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นหรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ฐานฉ้อโกง มาตรา 341 จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (คือโดยทุจริต
รู้อยู่ว่าตนไม่มีอำนาจจับ แต่ได้หลอกลวงว่าตนมีอำนาจเช่นว่านั้น และการหลอกลวงนี้ทำให้ได้เงินจากเราไป ก็จะผิดฐานฉ้อโกงนี้)
5. ฐานกรรโชกทรัพย์ มาตรา 337 คือถ้ามีการบังคับข่มขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
หรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือบุคคลที่สาม
จนยอมเช่นว่านั้น มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่น ถ้าการกรรโชกทำโดยขู่ว่าจะฆ่า
ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายฯ หรือมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปีและปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท จะผิดข้อหาใด
ฐานใดต้องดูข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป
เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะพิจารณาและหาพยานหลักฐาน ที่บอกว่าควรจะต้องตรวจสอบก่อนนั้นว่ามั่วมาหรือไม่
กรณีนี้ ตัวแทนนำจับรู้ตัวมันอยู่แต่แรกแล้วว่าตัวเองมีสิทธิหรือไม่
เป็นการกระทำโดยเจตนาชัดเจน
หน้าที่ในการตรวจสอบเป็นของตำรวจ
ก่อนรับแจ้งความต้องตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดว่าผู้แจ้งมีอำนาจแจ้งหรือไม่ ใครเป็นผู้รับมอบอำนาจ
ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ต้องมีเอกสารชัดเจนจึงจะรับแจ้งความได้
ถ้าตำรวจบกพร่องละเลยไม่ตรวจสอบแล้วรับแจ้งความ ถ้าปรากฏภายหลังว่าการแจ้งความไม่ถูกต้อง ไม่มีสิทธิ
ไม่มีอำนาจจริง
ตำรวจจะมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา
157 เราสามารถเอาผิดได้ทั้งตัวแทนนำจับและตำรวจครับ ถ้าตัวแทนมั่วมา
แต่ถ้าเขามีสิทธิจริง เราก็ค่อยมาดูถึงวิธีการค้นและจับว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ถ้าวิธีการค้นและจับไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราก็สามารถเอาผิดกับพวกมันและตำรวจที่มาส่ง ได้เช่นกัน
อ้างถึง
อันนี้ มีผู้หวังดีเสริมให้ครับ ซ้ำคงไม่ว่ากัน
การล่อเล่น ไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจ ราษฎรก็ล่อเล่นได้
การล่อเล่นในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ถือเป็นการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ศาลจะยกฟ้อง
การค้นในที่รโหฐาน เช่น ห้องนอน ห้องครัว ส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย ต้องมีหมายค้น
ถ้าเข้าไปยึดแผ่นเกมส์โดยไม่มีหมาย ก็เป็นการค้นที่ไม่ชอบ
ทรัพย์สินที่ยึดไปไม่สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ต้องห้ามตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้น ถ้าขึ้นศาลก็จะไม่มีพยานหลักฐานนำสืบแสดงว่าเราทำผิด (แม้เราละเมิดจริง
แต่เมื่อไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเราทำผิด เพราะหลักฐานที่ยึดได้มาจากการค้นที่ไม่ชอบ) ศาลจะยกฟ้อง
หลัก ตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งศาลไม่ได้ (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 )
ข้อยกเว้น จะจับโดยไม่มีหมายจับก็ได้ เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า
และเหตุอื่นตามที่กฎหมายกำหนด (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 80) ความผิดซึ่งหน้า
หมายถึง ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการใด
ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 80)
ราษฎร(หมายถึงตัวแทนบริษัทด้วย

สามารถจับความผิดซึ่งหน้าได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ
แต่ต้องเป็นความผิดอาญาบางประเภทเท่านั้น (คือความผิดที่บัญญัติไว้ท้ายประมวลป.วิอาญา) เช่น
ฐานปล้นทรัพย์ ฐานฆ่าคนตาย เป็นต้น
แต่ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่ความผิดท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ราษฎรจึงจับไม่ได้แม้เห็นความผิดเกิดขึ้นซึ่งหน้า)
อ้างถึง
ผมเคยถูกเชิญให้ไปประชุมในการรวมตัวของผู้เสียหายแล้วครับ น่าสงสารมากๆ ส่วนใหญ่มีแต่คนจนๆ ครับ
ร้องไห้กันเย๊อะครับ และส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ครับ 90% ยอมจ่ายเงินด้วยครับ เพราะเค้ากลัว
ผมจึงจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ ด้วยการกระจายข้อมูลให้คนรู้ทันกันทั่วแผ่นดิน
หยิบมาฝากไว้เพื่อให้ทราบ

credit : http://www.ict.in.th/

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

เครื่องนวดหน้าอก สุญญากาศ

ข้อมูลจาก http://thaibreastup.com/

“เครื่องนวดหน้าอก ที่จะช่วย เพิ่มขนาดหน้าอกและทรวงอกให้ใหญ่ขึ้น กระชับ เต่งตึง สวยงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ”

เครื่องนวดหน้าอกวันนี้ ถ้าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องหน้าอกเล็ก หน้าอกห่าง หน้าอกหย่อนคล้อย หน้าอกไม่กระชับ ปัญหาเหล่านี้ทำให้คุณขาดความมั่นใจ จะหาเสื้อผ้าใส่ก็ยาก ยิ่งแฟชั่นสมัยนี้ เว้าตรงโน้นนิด ตรงนั้นหน่อย คนหน้าอกเล็ก ก็ได้แต่ถอดใจ แต่วันนี้เรา สามารถดูแลหน้าอกของเราด้วยวิธีการง่ายๆ ได้ด้วย เครื่องนวดหน้าอก สุญญากาศ ซึ่งสามารถช่วย เพิ่มขนาดหน้าอก ทรวงอก ของคุณให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยไม่ต้องไปเสียเงินจำนวนมาก และเจ็บตัวกับการทำศัลยกรรม

วิธีการนวดหน้าอกเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับมานานหลายปีว่าช่วย เพิ่มขนาดหน้าอก ทรวงอก ของสาว ๆ ได้จริง แต่การนวดหน้าอกธรรมดา ต้องใช้ความตั้งใจและความอดทนเป็นอย่างสูง ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดของสังคมยุคใหม่ ทำให้บางคนก็ไม่สามารถบรรลุความตั้งใจของตัวเองได้ ก็จะมีเพียงสาวๆจำนวนไม่มากที่มีความตั้งใจจริง ที่อยากจะเพิ่มขนาดหน้าอกของตัวเอง แต่ก็ต้องเสียเวลาไปมากมาย

วันนี้เรามีเครื่องนวดหน้าอกรุ่น ใหม่ เป็นสินค้าที่ hot มากมาย ที่จะช่วยให้เรานำมาใช้นวดเพิ่มขนาดหน้าอก ทรวงอก ได้เสมือนกับการนวดด้วยมือ แต่มีความสามารถที่สูงกว่า และได้ผลลัพธ์เกินคาด โดยใช้เวลาเพียงวันละนิดเดียว

เครื่องนวดหน้าอก สุญญากาศ รุ่นนี้ สามารถนวดหน้าอก ทรวงอก ให้ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้ขจัดเซลลูไลท์ ที่ตัวเราได้อีกด้วยคะ เพราะว่า เครื่องนวดหน้าอก รุ่นนี้มาพร้อมกับ ฝาครอบขนาดใหญ่เอาไว้ใช้สำหรับนวดหน้าอก และฝาครอบเล็กเอาไว้ใช้ขจัดเซลลูไลท์

ขออนุญาตินำข้อความบางส่วนที่ลูกค้าที่ใช้เครื่องนวดหน้าอก ส่ง feedback กลับมาให้เรา นะคะ

Feedback จากลูกค้าที่ได้ใช้ เครื่องนวดหน้าอก สุญญากาศ รุ่นอินฟาเรด

คุณลูกน้ำ จากเพชรบูรณ์ “เมื่อ ก่อนน้ำก็ใช้วิธีนวดหน้าอกหลังอาบน้ำ บางวันก็ได้ทำ บางวันก็ไม่ได้ทำ อ๋อลืมบอกไปว่าน้ำมีปัญหาเรื่องหน้าอกเล็ก ก็เคยหาข้อมูลใน net เรื่องนวดหน้าอก ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าใช้แล้วมันจะได้ผลไหม แต่ก็เอาน่าลองดู แต่พอลองใช้ไปซักพัก หน้าอกก็เริ่มรู้สึกกระชับ แล้วหน้าอกมันก็โตขึ้นจริงๆ คืออยากจะบอกว่ามันช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นได้ จริงงงง

คุณริน จากขอนแก่น “พออายุเริ่มมาก หน้าอกก็เริ่มไม่กระชับ เลยลองตัดสินใจซื้อเครื่องนวดหน้าอกมาใช้ดู ได้ของมาวันแรกก็ลองเลย ประมาณ 5 นาที ก็รู้สึกเหมือนเลือดมันไหลเวียน บริเวณหน้าอกเราดีขึ้น พอใช้ผ่านไปประมาณเดือนนึง แต่ก็ไม่ได้ทำทุกวันนะ ก็รู้สึกนะว่า หน้าอกแน่นขึ้น กระชับขึ้นกว่าเมื่อก่อน

เครื่องนวดหน้าอก

เครื่องนวดหน้าอกรูปที่ 1

มั่นใจกับเครื่องนวดหน้าอกได้ในคุณภาพ

certificate

ลองมาชมวิธีการใช้เครื่องนวดหน้าอก สุญญากาศ รุ่นอินฟาเรดกันนะคะ

นอกจากเครื่องนวดหน้าอกจะช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกแล้ว ยังสามารถใช้นวดสลายไขมันและเซลลูไลท์ได้อีกนะคะ

คุณสมบัติและความสามารถของ เครื่องนวดหน้าอก มากมายขนาดนี้คุณคิดว่าราคาเท่าไร





วิธีสังเกตความรัก ว่าเป็นรักแท้หรือไม่ [Love]

ช้อมูลจาก เดลินิวส์

ใครที่กำลังมีความรัก วันนี้มีวิธีสังเกตว่าความรักที่มีอยู่นั้น เป็นรักแท้หรือเปล่ามาให้อ่านกัน…

1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัส กับความสุขร่วมกับคน ๆ นั้น เมื่อ อยู่ด้วย กันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงา ๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ ก็กระโดดโลดเต้นดีใจ

2. ต้องให้ความเคารพนับถือคน ๆ นั้น ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูก ไม่เคยให้ความเคารพในความเป็นเขา แล้วคนอื่น ๆ จะเคารพคน ๆ นั้นของเราได้อย่างไร และเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใคร ๆ เขาดูถูก

3. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้น เป็นที่พึ่งได้ เมื่อ เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ

4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักให้อภัยกัน มันก็อยู่กันทน

5. ต้องเข้าถึงความต้องการทางอารมณ์และความรู้สึกของคน ๆ นั้น เช่น ถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเอง ด้วยความเต็มใจ

6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคน ๆ นั้น ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขา มันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน

7. ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคน ๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก สามารถ ที่จะ ขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะเดินหายไปจากชีวิต

8. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคน ชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป

9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคน ๆ นั้นในหลาย ๆ ด้าน เป็นต้นว่าความคิดอารมณ์ และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง

10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าคุณไม่ได้มีรักแท้กับคน ๆ นั้น

ลองนำไปสังเกตความรักของคุณดูได้ ว่าเป็นรักแท้แบบไหน


หัวข้อ : ความรัก ความอดทน การรอคอย [Love]

จากเว็บไซต์ http://hot.ohozaa.com/

“ความรักและความอดทน”

"ความรัก” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่มากมายราวกับว่าจะไม่มีวันหมด แต่สิ่งที่มนุษย์มีอยู่จำกัดจนดูเหมือนคับแคบเห็นแก่ตัว ก็คือ “ความอดทน”

ยิ่งรักมากก็ยิ่งต้อง “อดทน” กับปัญหาต่างๆ รอบข้าง เพื่อรักษาความรักนั้นไว้ให้ยั่งยืน


แต่….

เมื่อใดที่สิ้นรักเมื่อนั้น “ความอดทน” ก็หามีไม่

สิ่งใดที่เคยทนได้ก็กลับแปรเปลี่ยนไป

สิ่งใดที่เคยเห็นดี เห็นชอบ กลับกลายเป็นขวางหูขวางตา

ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหนึ่งกระทำต่อตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ท้ายที่สุดเราเป็นฝ่ายทอดทิ้งให้ความรักนั้นต้องจบลง

บางครั้งความรักนั้นอาจจบลงทั้งๆ ที่ความรู้สึกรักของเรายังมีอยู่เต็มหัวใจ

เพียงแต่การถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จนกระทั่ง “ความอดทน” บอกให้เราต้องไป…ไปทั้งที่ยัง “รัก”

เพราะหากรักแล้วต้องเจ็บ ต้องช้ำ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็น่าจะหมายถึง

“การจากไปในวันนี้เพื่อที่จะเข้มแข็งและลุกขึ้นได้ใหม่ในวันข้างหน้า”

อย่างนั้นมิใช่หรือ ?


“รักและน้ำตา”"หากรักแล้วต้องร้องไห้ไปตลอดชีวิต

ก็ขอเลือกที่จะร้องไห้สองสามวันแล้วยิ้มไปตลอดชีวิตที่ดีกว่า”

สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วล่ะนะ

ว่าจะร้องไห้ไปตลอดชีวิต หรือร้องไห้แค่วันนี้แล้วยิ้มไปตลอดชีวิต

ชีวิตเรา ๆ สามารถเลือกเองได้จริงมั้ย?



“คนร่วมทาง”

คนเราคบหาร่วมทางกัน มีค่าตรงที่รู้จักกัน

คนเรารู้จักคุ้นเคยกัน มีค่าตรงที่รู้ใจกัน

คนเรารู้ใจกันแล้วจากกัน มีค่าตรงที่อยู่ในความทรงจำที่ดีของกัน

“ถึงรักอย่างไรก็อย่าให้ตาบอด เมื่อวันหนึ่งความอดทนบอกเราว่าถึงเวลาแล้ว ก็ควรจะรับฟังไว้บ้างแล้วกัน เราเป็นผู้กำหนดชีวิตของเรา”

**บางครั้งคนเราก็รู้นะว่าควรต้องทำยังไง แต่ถามว่เมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆแล้ว

จะทำได้หรือไม่เท่านั้นเอง ความรักและน้ำตา มันมาคู่กันเสมอ **

การรอคอย

เป็นเรื่องที่ทรมาน

โดยเฉพาะ...การรอคอยที่ จะกลับมาพบกัน

หรือรอคอยใครสักคน ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

ยิ่งรอ...ยิ่งเหมือนเข็มนาฬิกา เดินช้าเท่าตัว

จากเวลาที่นานอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนยิ่งนานกว่าเดิม

และการดำเนินชีวิต ระหว่างการรอคอยนั้น

ก็มีตัวแปรมากมาย ที่จะทำให้คนเปลี่ยนไปอยู่ทุกขณะ

เพราะทุกคนมีพื้นฐานความเหงา และโดดเดี่ยวอยู่ในตัวเอง

...พอๆ กับความอ่อนไหว

แต่ก็เป็นโอกาสดี . . . ที่จะให้ระยะทาง เป็นเครื่องวัดความรู้สึก

พิสูจน์ความแข็มแรง...ของความรัก

โดยวัดจากการกระทำ ความเสมอต้นเสมอปลาย

และความอดทนด้วยเงื่อนไข ของความลำบากแห่งกาลเวลา

และตัดสินว่า...การรอคอยจะคุ้มค่าหรือไม่ กับการอยู่ห่างกัน



ต่างคนต่างก็ต้องทำใจให้เข้มแข็ง กับอารมณ์ต่างๆ ที่คอยรบกวน

และคอยชักจูง ออกนอกลู่นอกทาง

เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่วันหนึ่ง เราพบว่า...



คนคนหนึ่ง คือ...คนที่ชีวิตเราตามหามาตลอด

ใครสักคน...ที่เป็นได้อย่างที่เราฝัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย

และคนที่จะฝ่าฝัน กับการบีบคั้นแห่ง การรอคอย...

...กลับมาหาเราได้ ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

เพราะฉะนั้น ย่อมหมายถึง . . .



ความรู้สึกที่เขามีอยู่... ก็คงไม่ได้ธรรมดา

ที่สามารถรอคอยได้อย่างไม่น่าเชื่อ...

และเมื่อถึงเวลานั้น... สิ่งที่รอคอย ย่อมเกิดค่ามหาศาล



ชีวิต... จึงจำเป็น ต้องรอคอยใครสักคนให้ได้

หากว่าเป็นใครสักคน... ที่มีค่าแก่การรอคอย

... แต่หากรอคอยแล้ว มีแต่ทำให้คุณเจ็บ และเจ็บ

ก็สู้อย่ารอ... จะดีกว่า...

การที่เรารักใครสักคน . . .ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่า ทำไมเราจึงรักเขา

แต่ให้รู้ว่า...ทุกวันนี้เรารัก และต้องรักให้ดีที่สุดก็พอ



การที่เรารักใครสักคน... ไม่ต้องสนว่ามีอุปสรรคมากมายเท่าใด

แต่ควรจะนึกขอบคุณโชคชะตา ที่สร้างให้มีอุปสรรค...

เพื่อให้เราได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน

การที่เรารักใครสักคน…ไม่ต้องเสียเวลาคิด ว่าเค้าทำอะไรเพื่อเราบ้าง

แต่ควรถามตัวเองว่า... วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักหรือยัง



การที่เรารักใครสักคน…ไม่ต้องไประแวงว่าเค้าจะมีคนอื่นนอกเหนือจากเรา

แต่ควรระวังใจของเราเอง... ที่จะไปรับคนอื่น เข้ามาแทนที่เค้า

การที่เรารักใครสักคน…คำว่า “แพ้” หรือ “ชนะ” ไม่สำคัญ

สิ่งที่สำคัญคือ เราจะประคองความรัก ไปด้วยกันได้อย่างไร



การที่เรารักใครสักคน…ไม่ใช่การสัมผัสเพียงกาย

แต่เป็นหัวใจของเราต่างหาก ที่แนบชิดกัน

การที่เรารักใครสักคน…ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งของนอกกายใดๆ

เพราะความรักไม่สามารถซื้อ หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สินเงินทอง



การที่เรารักใครสักคน…ไม่ต้องคอยนับว่า เค้ามีข้อเสียมากมายแค่ไหน

เพราะความรักจะช่วยทำให้เรารู้จักอภัย...และมองข้ามข้อบกพร่องนั้นไปได้

การที่เรารักใครสักคน…อาจทำให้เราตาบอด

จนมองไม่เห็นความจริงบางอย่าง

แต่ก็ทำให้เราได้เข้าใจว่า...

ความสุขจากการได้รักใครสักคนนั้น... ยิ่งใหญ่แค่ไหน


เพราะ “ความรัก” เป็นบทเรียนดีๆ

ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ . . . ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิถีแห่งเซน ของสตีฟ จอบส์

ข้อมูลจากเว็บไวต์ http://www.divland.com/blog/2011/01/22/steve-jobs-zen/


แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา

สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย

กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้


• ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา
เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา

สตี เฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

เมื่อโตขึ้น จอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้

ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษา พุทธศาสนานิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป

• ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง

ใน ปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ

หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง

ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)

• เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple
ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน

ใน ปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!

จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า

“มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น”

ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ

ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน

• พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน

เมื่อ จอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

เรื่องนี้เป็นความสูญ เสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน

แต่แล้วความรู้สึกอย่าง หนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง

จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

หลัง จากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar (ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story

ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯจึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple

• ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน
เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต

เมื่อ อายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

จอบส์ เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่า นั้น

“วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น”

จอบส์ พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรง และไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้าน และจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบ ร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “เตรียมตัวตาย”

แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อ แพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน

ซีอี โอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่า เมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัว เองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า

“ไม่ มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป(ตาย) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา(เกิด) ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป(ตาย) นี่คือหลักความจริง”

จอบส์ ได้เตือนว่า

“เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะ พาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร”

ทุก วันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ

9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์

9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”

นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”

ไม่ มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”

จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค

4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่ง บางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่ง ขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ

5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น”

ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความ เป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ

6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”

ใน รอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า

7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”

อย่า มองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”

คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง

9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”

คุณ เบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกด ดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย บุญสิตา)