วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

สูตรอาหาร ธรรมชาติบำบัด : ล้างระบบดูดซึม

จากเว็บไซต์ http://www.pendulumthai.com/index.php

ล้างระบบดูดซึม

1. นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ
: ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย, นมสดให้แคลเซียม
2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี
3. ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ
4. ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)
5. ไวทาไลท์ สมุนไพรสกัดสูตรจีน : รากหญ้าคา เก๋ากี๊ (บำรุงตับ) เก๊กฮวย (บำรุงหัวใจ) ดอกคามิลเลีย 1 pack มี 10 ซอง 1 ซอง ชงกับน้ำ 1-2 ลิตร แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่มวันละ 4-6 แก้ว

6. ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้ น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค

กำจัดไวรัส

1. เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน แล้วแต่คำแนะนำของนักประเมินสุขภาพ
2. ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม ป้องกันไวรัส

แก้คัดจมูก ภูมิแพ้

1. ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก
2. เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก
3. ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้
4.ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน


ล้างเชื้อรา

1. กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
2. ใบย่าน่าง คั้นน้ำ ทานน้ำ
3. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัดแบบเม็ด สร้างเม็ดเลือดขาว ล้างเขื้อรา
*ผู้ที่มีเชื้อรา ต้องงด อาหารหวาน และ ผลไม้,โปรตีนจากเนื้อสัตว์, ถั่วแห้ง เช่น ถั่วลิสง, งา

ถ่ายพยาธิ

1. เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ
2. กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ
3. ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน
4. เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ
5. Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม
6. ใบข่า ซอย 2 ใบ ต่อ วัน 5-7 วัน

ล้างอุจจาระตกค้าง

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร
2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
3. ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
4. กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน
5. โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ

รักษานิ่วในไต

1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน
2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน
3. น้ำมะพร้าวอ่อน แกว่งด้วยสารส้ม ดื่มวันละ 1 ครั้ง จนกว่านิ่วจะหลุด

บำรุงไต

1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น
2. หน่อไม้ดอง
3. เม็ดบัว
4. ไขเยี่ยวม้า
5. น้ำฟักทอง
6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม
แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป

บำรุงปอด

1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด
3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น
4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ

บำรุงตับ

1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน
2. ถั่วเขียว บำรุงตับ
3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ
4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ

บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู
2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ
3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ
4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ

บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ

1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ
2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ

ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน

1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ
2. นมสด 1 แก้ว ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ หรือ น้ำมันขิง 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส )คนให้เข้ากัน ทานติดกัน 5-10 วัน แล้วแต่อาการ
3.โยเกิร์ตรสจืด 1 ถ้วย ผสมน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ทาน 5-7 วัน

ล้างสารพิษ

1. ระดับต่ำ เห็ดสามอย่าง ต้มน้ำ ดื่มน้ำที่ต้มได้ หรือ นำเห็ดสามอย่างไปทำอาหาร
2. ระดับกลาง ข้าวต้มถั่วเขียว (ข้าวสาร ๑ ส่วน ถั่วเขียว ๑ ส่วน ต้มกับน้ำจนกลายเป็นข้าวต้ม ที่สำคัญสูตรนี้ต้องต้มในหม้อดินหรือหม้อกระเบื้องเคลือบเท่านั้น เพราะถ้าใช้หม้อโลหะ มันก็จะไปดึงสารพิษจากโลหะกลับเข้ามาอีก)
3. ระดับสูง ต้นจางจืด (คนละชนิดกับรางจืด อาจจะหายากสักหน่อย แต่พอมีขายตามร้านขายยาไทย เช่น เจ้ากรมเป๋อ) ลักษณะเป็นไม้แห้ง หั่นเป็นแว่นๆ ใช้สัก ๓-๔ แว่นต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๗-๑๐ วัน
หรือจะใช้ ต้นเหงือกปลาหมอ (งงหนักขึ้นไปอีก) อันนี้ต้องเฉพาะพื้นที่ (ตามป่าชายเลนจะพอมี) ถ้าใช้สดมาสับๆ ให้ละเอียด ๑ ขีด (ถ้าแบบแห้งก็แค่ ๑/๒ ขีด) ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๑๐ วัน
ง่ายกว่านั้นแต่ต้องใช้ตังค์เยอะหน่อย คือ ใช้ ชาแคลรี่ (CALLI) ของซันไรเดอร์ ชงดื่มวันละ ๑-๒ ซอง ล้างพิษระดับนี้ได้ชะงัดนัก
4. ผักบุ้งแดง ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลทรายแดง ๕ ช้อนโต๊ะ (ต้มในหม้อดิน) กินน้ำล้างพิษ สัก ๑๐-๓๐วัน

ลดความอ้วนจากการบวมน้ำ

ฟักเขียว ต้มกับ ข้าวสาร อย่างละเท่ากัน

สะเก็ดเลือด

1. นม 1 กล่อง + ขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
2. โยเกิร์ต + น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ขิง ข่า งา มะพร้าว) คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
3.อ้อยดำ อ้อยแดง สับ ๆ 7 ปล้อง ต้มน้ำดื่ม ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
4.มะขามคลุกข่า ใส่เกลือสมัยใหม่+ผงชะเอมหรือผงบ๊วย ทานจนกว่าอาการจะหาย

ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก

1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้
2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง
3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง ล้างกรดยูริก

ริดสีดวงทวาร

สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อ

ลดไขมันในเลือด

1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน ต้ม ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ ไม่มีอันตราย สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
* น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน
2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด
3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น
4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ
5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว

ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม

1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ
3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ
4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน

ขยายหลอดเลือด

1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด
2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด

ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน

1. น้ำต้มใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย
2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน
3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว
4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด

5. ใบมะรุม


โรคปอดหรือหอบหืด

ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน

กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ

1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร
2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ
3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ

บำรุงม้าม

1. ถั่วเหลือง หรือ มันเทศสีเหลือง หรือ ขมิ้นชันทานเวลา 0900-1100 น.บำรุงม้าม
2. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัด ทานเวลา 0900-1100 น. บำรุงม้ามให้ผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน แก้น้ำเหลืองเสีย ป้องกันงูสวัด
3. ดอกอัญชัญต้มน้ำ ทานน้ำ บำรุงม้าม ช่วยให้น้ำเหลืองดี

แก้ปวดข้อ

1. ลูกเดือยต้ม ทานเนิ้อแทนข้าว 7 วัน รวม 21 มื้อ แต่ละมื้อ ต้องมีลูกเดือยในสัดส่วนมากกว่า 70% ของมื้อนั้น
2. ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ
3. กากกระชายที่ได้จากการปั่น ใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง ล้างกรดยูริก

ปรับความดันให้สมดุลย์

1. น้ำกระชายปั่น : กระชายล้าง ไม่ต้องปอกเปลือก 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก
ล้างกระชายให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป ผสมปรุงรสตามใจชอบได้
- บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง)
- บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น
- ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน
- ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต ( ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น
- แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น
- ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ
- บำรุง มดลูก
- แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง
- อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)
- ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต
- แก้ปัญหา ไส้เลื่อน
*กระชายมีฤทธิ์ร้อน หากรู้สึกร้อนใน ให้ลดจำนวนลง

เพิ่มเม็ดเลือด

1. สัปปะรดกับใบโหระพา-ปั่นสด กรอง ทานแต่น้ำ, ผักชีปั่นกับสับปะรด ทานน้ำ, ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ด
2. ใบเตย ต้มกับใบมะนาว, ใบเตยต้มกับแก่นขนุน
3. ใบขี้เหล็ก กินสุก เช่น แกงขี้เหล็ก ห้ามกินดิบ เพราะมีสารพิษ
4. สมาธิบำบัด โดย กสิณสีแดง

เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)

1.น้ำมะม่วงสุก / มะม่วงกวนต้มกับน้ำมะขาม / น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ) /น้ำมะเฟือง / ผักกุ๊ยช่าย/ หอยแมงภู่แห้ง / ปลิงทะเล/ ว่านชักมดลูก(ชายสูงอายุต้องกิน จะช่วยให้ไม่เป็นไส้เลื่อน และไม่เป็นต่อมลูกหมากโต) ,
2. มุกสกัด
3. ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้
4. แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียวหรือฝรั่งหรือตะลิงปริง ,

บำรุงระบบเพศ

1. เนื้อลูกบัวต้ม
2.น้ำกระชายปั่น

สูตรอาหารอื่น ๆ

ใบกระเพราตากแห้ง - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ ขับลม

ใบมะยม,รากเตย, ใบหญ้าหวาน - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ ด้านเบาหวาน ฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง

ใบโหระพา - กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด, ตับ, ม้าม, ไต, หัวใจ ให้แข็งแรง

ใบโหระพาปั่นกับสับประรด - ช่วยสร้างเม็ดเลือด

ใบเตย+ใบมะนาว/ ใบเตย+แก่นขนุน / ใบเตย+แก่นฝาง - ต้มรวมกันดื่มน้ำ ช่วยสร้างเม็ดเลือด

ใบเตย+แฮ่ม - ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไมเกรน

ใบยอ - นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี

ใบหูเสือ - กินช่วยขับพยาธิได้

ใบขี้เหล็ก -ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

มันเทศ - ลดความอ้วน อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม

แกงบอน, ขมิ้นชัน, มันเทศ - เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอ

แกงสับปะรดใส่หอยแมงภู่แห้ง - แก้ปัสสาวะขัด ต่อมลูกหมากโต

เนื้อสับปะรด - ต้านการอักเสบ

ตาแย่ ตาป่วย ตาเจ็บ ตาแสบ - ต้องล้างระบบดูดซึมและดื่มน้ำกระชายและส่งอาหารที่มีวิตามินA และวิตามินEเข้าไปมากๆ คือ ขมิ้น , แกงผักบุ้งเทโพ , ผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้ตากแห้ง เช่นกล้วยตาก ลูกเกด


ลูกเกด :- แก้ตาแพ้แสง , บำรุงผิวพรรณ , รักษาไมเกรน ช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี , แก้ถุงน้ำดีข้น , ลดความบ้า โรคจิตขี้กลัว ลดเครียด , ลดคลอเรสเตอรอล สรรพคุณคล้ายกระเจี๊ยบพุทราแห้ง


พริกหวานสีแดง
ป้องกันโรคปวดตามข้อได้ ทำให้กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา สนุกสนาน

พริกหวานสีเหลือง กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยย่อย

พริกหวานสีเขียว คลอโรฟิลจะไปสร้างเม็ดเลือด

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

น้ำผักปั่น พลังเอนไซม์

โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ (แพทย์ทางเลือก และนักธรรมชาติบำบัดแบบองค์รวม)

จากเว็บไซต์ http://friutenzyme.blogspot.com/2009/08/blog-post_2673.html

เคล็ดไม่ลับในการดูแลสุขภาพ

น้ำผักปั่นช่วยฟื้นฟู การทำงานของร่างกาย 5 ระบบ
1. ระบบดูดซึม
2. ระบบทางเดินหายใจ
3. ระบบหมุนเวียนโลหิต
4. ระบบภูมิคุ้มกัน
5. ระบบต่อมไร้ท่อ

ดื่มสด ๆ เป็นประจำทุกวัน ต้านโรค เพิ่มพลัง เพื่มสมรรถภาพทางเพศ ลดไขมันส่วนเกิน ผิวสวย หน้าใส ดูอ่อนวัย ดีกับผู้ป่วยทุกโรค

คุณสมบัติเด่น

  • ในน้ำผักมีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ ที่มีคลอโรฟิลด์สารสีเขียวในพืชมีวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก โปรแตสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส จะเกิดการแลกเปลี่ยนการใช้สารอาหารได้สูงสุด ณ. จุดที่ร่างกายสามารถนำของเสียทิ้งได้หมด และทำให้ร่างกายสร้างพลังงานในแต่ละเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ซึ่งส่งผลให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่ตายในแต่ละวันได้ เต็มที่ลักษณะนี้คือ ปัจจัยสูงสุดที่ร่างกายจะไม่เกิดความอ่อนแอทุกอวัยวะเมื่อไปอยู่ในประเทศไหน ก็ตาม ถ้าได้สัดส่วนของสารอาหารออกมาเป็นกรดอ่อน มีคลอโรฟิลล์ มีวิตามินเอ วิตามินซี นี่คือที่มาของการทำให้ร่างกายสามารถมีอาหารได้เต็มที่ในแต่ละเซลล์
  • ถ้าทุกเซลล์แข็งแรงไม่มีเซลล์ตายก็จะไม่เก่ ถ้า pH เป็นกรดเกินไปการใช้แคลเซียมก็จะยาก กรดอ่อนทำให้เกิดการใช้ไขมัน ไขมันถูกย่อยสลายได้เร็ว ถ้าเป็นด่างเกินไปการย่อยสลายไขมันก็ทำได้น้อย
  • ไขมันคือของแข็งที่มีปริมาณถึง 60% ของของแข็งทั้งหมดในร่างกายเป็นตัวที่จะไปเปลี่ยนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงเป็นน้ำ เมือกที่ไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายน้ำไขข้อเป็นไขกระดูกเป็นกล้ามเนื้อ เป็นกระดูกเส้นเอ็นไขมันหล่อเลี้ยงน้ำเมือกที่ไปหล่อเลี้ยงเส้นผมเป็นลำดับ pH ของน้ำผักที่เหมาะสมกับคนไทยอยู่ที่ pH 4 - 6
  • คนอ้วนมากให้น้ำผักที่ pH 4 เลยเนื่องจากคนอ้วนมีไขมันค้างอยู่ในลำไส้มาก น้ำผักจะไปเปลี่ยนไขมันเป็นโคเลสเตอรอล ไปเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ และเป็นกลีเซอร์ไรด์ในที่สุด ซึ่งร่างกายนำไปใช้ได้การดื่มน้ำผัก คือการเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่จำเป็น และที่สำคัญที่สุด คือ คลอโรฟิลล์ เมื่อดื่มแล้วถูกดูดซึมไปฟื้นฟูตับทำให้น้ำตับและน้ำตับอ่อนหลั่งการย่อย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินมีมากขึ้น
  • ขณะที่น้ำผักไปย่อยไขมันส่วนที่เก่าส่วนหนึ่งแล้ว เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานดังนั้น ร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะทำงานได้มากกว่าเดิม น้ำผัก จึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกายตลอดจนสารพิษต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
  • ซึ่งปรากฏการที่สังเกตุได้คือ ลดอาการปวดต่าง ๆ จากอาการท้องเสียหรือมีของเสียค้างอยู่ในระบบเลือดมาก จนปวดตามกล้ามเนื้อ อาการปวดหลัง ดังกล่าวจะลดลง ลดอาการปวดศรีษะ ลดไข้ ลดความอ่อนเพลีย ลดอาการนอนหลับยาก ลดอาการนอนกรน
  • ซึ่งอาหารที่ดีขึ้นคือ ขบวนการที่ร่างกายชะล้างของเสียออกได้ดีขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ควรเก็บกด ด้วยการใช้ยาระงับปวด ซึ่งเป็นการไปหยุดความสามารถในการชะล้างของร่างกายทำให้เกิดสารพิษมากขึ้นใน ทุกระบบของร่างกายและแพร่กระจายสะสมจนก่อเกิดเซลล์มะเร็ง
  • การกินน้ำผักก่อนอาหารเป็นการเตรียมร่างกาย ในการย่อยสารอาหารที่เรากินลงไปได้ดีกว่าเดิมนั่นคือ เกิดสภาวะดีกับร่างกายทั้งระบบ
สรุปน้ำผักปั่นทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน

1. ให้สารอาหารที่ร่างกายนำไปฟื้นฟูตับกับตับอ่อน

2. กระตุ้นให้ร่างกายพร้อมในการย่อยไขมันที่เหลือค้างอยู่เปลี่ยนรูปไปเป็น พลังงานทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะย่อยสารอาหารที่รับประทานเข้าไปในมื้อ ต่อไป

ส่วนประกอบสำคัญ
  1. ผักกาดหอม 2 ใบ ช่วยฟื้นฟูเซลล์โดยเฉพาะระบบประสาทและเซลล์ในปอด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือดทำให้ร่างกายมีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่าง มีประสิทธิภาพช่วยลดอาการเจ็บปวดของระบบข้อเสื่อมต่าง ๆ
  2. มะเขือเทศ (ท้อหรือสีดา)1-2 ลูก ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดง แข็งแรงช่วยทำให้ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานมีสารช่วยย่อยอาหารทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานเป็นปกติ
  3. หอมใหญ่ 1/4 ลูก ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง
  4. เนื้อเสาวรสสดหรือน้ำมะนาว 1 - 2 ลูก ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน
  5. คื่นฉ่าย 2 ก้าน ลดความดันโลหิต
  6. แอปเปิ้ล หรือกล้วยน้ำว้าสุกงอม 1 ลูก (หรือผลไม้ อื่น ๆ ให้เลือกใส่เพิ่มได้ เช่น ชมพู่ องุ่น สาลี่ ส้ม ส้มโอ ลองกอง สับปะรด เชอร์รี่ อื่น ๆ) ช่วยเสริมระบบขับถ่ายของเสีย
  7. น้ำผึ้ง ความชื้นต่ำ 2 - 4 ช้อนโต๊ะ (ห้ามใช้น้ำผึ้งค้ัางหลายปีหรือน้ำเชื่อม) ช่วยบำรุงผิวพรรณฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพเป็นเบาหวานก็สามารถทานได้)
  8. เอนไซม์ (Multi fruit Enzyme) 1 - 2 ช้อนโต๊ะ ช่วยปรับสมดุล ช่วยย่อย ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ให้เปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ช่วยเปลี่ยนสารพิษให้เป็นสารอาหาร
  9. น้ำสะอาด (น้ำดื่ม ไม่แช่เย็น 2 - 4 แก้ว ทยอยใส่โถเวลาปั่น (ขนาด 1.5 ลิตร)
ปั่นรวมกันให้ละเอียดไม่แยกกากเม็ดเสาวรสมีสารอาหารบำรุงสมองกินได้

การดื่มเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

  • ทยอยดื่มทันทีที่ปั่นเสร็จ ครั้งละ 1 ลิตร 3 ครั้งต่อวัน
  • ควรดื่มทุกคน ทุกวัน ทุกวัย เวลาที่ดีที่สุดคือก่อนอาหารเช้า
  • หญิงตั้งครรภ์ควรดื่มเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันคลอดง่าย ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารในการเจริญเติบโตจากเลือดแม่ ทำให้แข็งแรงทั้งแม่และทารก
ขอแนะนำให้ใช้เอนไซม์แช่ผัก

ก่อนล้างควรเด็ดผักออกเป็นใบ ๆ ล้างน้ำให้สะอาดทั้งผลไม้ด้วย สำหรับผักนำไปแช่เอนไซม์ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 2ลิตร แช่นาน 15 -30 นาที
***สำหรับผลไม้แช่ทั้งลูกนาน 1 ชั่วโมงขึ้นไป หรือแช่ข้ามคืนได้ยิ่งดี แอปเปิ้ล หอมใหญ่ มะเขือเทศ ก่อนนำไปบริโภคทยอยนำมาผ่าซีก แล้วแช่ในน้ำเอนไซม์ซ้ำอีกครั้งนาน 15 นาที ถ้าทำได้จะดีต่อสุขภาพ (แอปเปิ้ล ควรรับประทานทั้งเปลือก)

การทดลอง

เพื่อการฟื้นฟูควรดื่มต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 7 - 15 วัน จะเริ่มเห็นผล มื้อเย็นควรงดอาหารประเภท แป้ง ข้าว เพราะเป็นตัวลดเกร็ดเลือด ควรดื่มน้ำเอนไซม์ด้วยจะช่วยคุ้มครองเกร็ดเลือดให้แข็งแรง และเปลี่ยนพฤติกรรมให้ได้ตามบทปฏิบัติ 10 ประการ

**** จะพบความมหัศจรรย์ของร่างกายด้วยตัวท่านเอง***
ควบคุมอาหารให้ได้ตามคำแนะนำของชมรมบ้านสุขภาพ

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปรัชญา...แห่งการร่วม "รัก"

นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 353
เดือน-ปี : 09/2551
คอลัมน์ : เรียนรู้เรื่องเพศ
นักเขียนหมอชาวบ้าน : นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

จากเว็บไซต์ http://www.doctor.or.th/node/5762

ไม่ ว่าคุณจะเรียกว่าอะไร เซ็กซ์ กามารมณ์ ร่วมเพศ ทำรัก ฯลฯ หรืออาจมีมากกว่าคำที่กล่าวมาก็ตาม กิจกรรมแห่งความรัก ความพิศวาสที่เกิดจากธรรมชาติเรียกร้องให้นั้น คำที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็นคำว่า...ร่วมรัก

เพราะเป็น "การร่วมมือกันด้วยความรัก" เป็นการตอบสนองทางกายด้วยความรัก และถ่ายทอดความรักด้วยการเคลื่อนไหวทางกาย ถ่ายทอดสัมผัสรักให้แก่กันผ่านอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงมากที่สุดซึ่งก็คือ "ผิวหนัง" นั่นเอง

ความ สุขสมที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสอดประสานตามจังหวะ ของบทเพลงพิศวาสดังกล่าว ทำให้เป็นสายใยแห่งความผูกพันที่มองไม่เห็นซึ่งจะยึดเหนี่ยวคน 2 คนที่รักกันให้แน่ใจว่า...เรายังคงรักกันอยู่

เพราะเราคงยังร่วมรักกันอย่างมีความสุข
จะ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คู่ครองที่ยังคงมีกิจกรรมร่วมรักกันอย่างสุขสม และสม่ำเสมออย่างมีความสุขร่วมกันแล้ว เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก และเรื่องเล็กก็กลายเป็นไม่มีเรื่อง

ซึ่งต่างจากคู่ครองที่เบื่อ หน่ายที่จะร่วมรักกันไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม ปัญหาครอบครัวก็มักจะเกิดขึ้นและนำไปสู่การไม่เข้าใจกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน โกรธเคืองกันจนถึงขั้นเกลียดกันขนาดไม่มองหน้ากันก็มี เรื่องไม่เป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่อง เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

ถ้าเราเข้าใจปรัชญาแห่งการร่วมรักอย่างเป็นสุข... ทุกอย่างก็ราบรื่น
ผู้หญิง เกิดมาเพื่อต้องการความรัก และปรารถนา อย่างแรงกล้าที่จะเป็นมารดาที่รักของบุตร เป็นภรรยาที่รักของสามี อยากมีสามีที่รัก ซื่อสัตย์และมั่นคงตลอดไป อยากมีลูกที่รักและกตัญญูต่อเธอ เชื่อฟังเธอ และในความรักฉันคู่ครองนั้น เธออยากได้ชายคนนั้น ที่เข้าใจเธอ รักเธอมั่นคงจริงใจ ดูแลอุปการะเธอให้มีความสุข ความรักของผู้หญิงส่วนใหญ่จึงเป็นความรักในจินตนาการ ที่ยากจะจับต้องได้ ซึ่งต้องอาศัยอารมณ์ และความรู้สึกที่อ่อนไหวจึงจะลึกซึ้งถึงสัมผัสรักดังกล่าวของเธอ

ส่วน ผู้ชายเกิดมาเพื่อที่จะบอกรัก อยากจะเป็นบิดาของบุตร อยากจะเผยแพร่การเจริญพันธุ์ตามธรรมชาติและตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจาก ธรรมชาติ ให้เป็นผู้เผยแพร่เผ่าพันธุ์ ผู้ชายจึงบอกรักผ่านทางการร่วมรักหรือมีเซ็กซ์โดยไม่รู้ตัว

ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ชายเป็นทาสของธรรมชาติ
เป็นผู้รับใช้ธรรมชาติ...เพื่อการดำรงคงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ
และธรรมชาติตอบแทนผู้ชาย...โดยให้เขามีความสุขสุดยอดทุกครั้งที่ได้หลั่งน้ำอสุจิเพื่อการเจริญพันธุ์ออกไป

ผู้ชาย เกือบทุกคนจึงแสวงหาความสุขตามประสาปุถุชน...ด้วยการพยายามที่จะหาใครสักคน มาร่วมรัก ด้วยแรงผลักดันของฮอร์โมนเพศชาย ที่เป็นฮอร์โมนแห่งการเจริญพันธุ์ และเขาจะกลายเป็นคนอ่อนโยน น่ารักทุกครั้ง หลังจากได้ร่วมรักอย่างสุขสมกับคู่ของเขา

ในขณะที่ เวลาที่เขาไม่ได้ร่วมรัก...ฮอร์โมนเพศชายที่คั่งอยู่ในตัวของเขาจะทำให้เขา เกิดความก้าวร้าวรุนแรง จนถึงขั้นอาจจะทำร้ายคู่ครองได้...

แต่ผู้หญิงต้องการความรักก่อนที่จะมีเซ็กซ์!!!
ในขณะที่ผู้ชายมีเซ็กซ์อย่างสุขสม...แล้วจะเกิดความรักเพิ่มพูนขึ้น
ผู้ชายจึงมาจากดาวอังคาร...ส่วนผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์

การ พยายามพบกันครึ่งทางเพื่อที่จะทำให้ความรัก และกามารมณ์ประสานสอดคล้องกันจนสัมผัสได้ จึงเป็นแนวทางและปรัชญาที่สาวหนุ่มทั้งหลายจะต้องพยายามให้ได้ เพื่อทำให้สัมพันธ์รักทั้งของเขาและเธอราบรื่นและสุขสม

...เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องเรียนรู้ในการประสานสัมพันธ์รักด้วยกายและใจ
...แน่นอนว่าการร่วมรักนั้นย่อมมีท่วงท่าลีลารักที่หลากหลาย

ผู้หญิงเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เคยมีความสุขในรูปแบบใดก็ยึดติดกับรูปแบบนั้น
เคยช่วยตัวเองให้มีความสุขแบบไหน ก็อยากให้ร่วมรักให้มีความสุขแบบนั้น

เคย ร่วมรักกันในท่าไหน ก็อยากร่วมรักกันในท่านั้นตลอดไป ไม่อยากเปลี่ยนแปลง ผู้ชายเป็นพวกหัวก้าวหน้า ชอบลองของใหม่ ไม่ชอบยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ อยากมีความสุขในหลายรูปแบบและชอบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

และที่น่าแปลกในผู้ชายนั้นพอมีคู่แล้ว...ไม่ยอมช่วยตัวเอง
ชอบใช้ของจริงเป็นประจำ...แม้ว่าบางครั้งของจริง จะไม่ว่างหรือไม่พร้อม

การ หาทางพบกันครึ่งทาง...ก็เป็นศาสตร์และศิลป์ ที่คู่ครองทั้งหลายจะต้องเรียนรู้เช่นกัน มิฉะนั้นการร่วมรักก็จะกลายเป็นการทำการบ้านที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย

เมื่อ รู้แบบนี้แล้วคุยกันบ้าง คุยกันอย่างคู่รัก คุยกันฉันมิตร มีความเมตตาอยากให้คู่มีความสุข มีความกรุณาอยากให้คู่พ้นทุกข์ และคุยกันถึงหนทางที่จะมอบรักให้แก่กันผ่านทางการร่วมรักอย่างสุขสม และจำไว้เสมอว่า...คุณภาพนั้นสำคัญกว่าปริมาณ

ที่จริงแล้ว...การร่วมรักจึงไม่ได้เกิดขึ้นบนเตียง!!!
...เหมือนที่เคยคิดกัน และชอบคิดกัน

แต่ การร่วมรักนั้นเกิดขึ้นได้ทุกขณะชีวิตที่สอง คนได้ใช้ชีวิตร่วมกัน การสัมผัสกายของกันและกัน การบอกรักแก่กันผ่านภาษาพูดและภาษากายที่กระทำต่อกัน...ก็เป็นการร่วมรัก เช่นกัน

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

มะละกอ ต้านอนุมูลอิสระ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.doctor.or.th/node/6412
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 360
เดือน-ปี : 04/2552
คอลัมน์ : บทความพิเศษ
นักเขียนหมอชาวบ้าน : รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ




มะละกอ Carica papaya L.
วงศ์ Caricaceae
ชื่อ อื่นได้แก่ มะก๊วยเทศ (เหนือ) มะกล้วยเต็ด (พายัพ) มะหุ่ง (ล้านช้าง) บักหุ่งหรือหมักหุ่ง (เลย นครพนม) สะกุยเส (แม่ฮ่องสอน) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล) มะเต๊ะ (ปัตตานี) ลอกอ (ภาคใต้และมลายู) ภาษาฮินดูเรียก Papeeta

ภาษาต่างประเทศอื่นๆ เรียก Papaya, Melan Tree, Paw Paw
มะละกอ เป็นไม้ผลล้มลุก ต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง เข้ามาในหมู่เกาะฟิลิปปินส์และเอเชียราวปลายศตวรรษที่ 10 ที่ฟิลิปปินส์

ผลดิบมีสีเขียว
เมื่อสุกแล้วเนื้อในจะมีสีเหลืองถึง ส้ม นิยมนำผลสดมากินสดและนำไปปรุงอาหารได้ด้วย

มะละกอมีลำต้นตรงไม่มีกิ่งก้าน ลำต้นนิ่มมีสีเทา และมีร่องรอยของใบที่หลุดร่วงไป
ใบเป็นใบเดี่ยวมีแฉกลึก 5-9 แฉก ก้านใบยาว เรียงตัวแบบสลับเกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาว
ช่อดอกเพศ ผู้มีก้านดอกยาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2.5 เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี 10 อัน ดอกเพศเมียก้านดอกสั้นหรือไม่มีก้านดอกเลย ดอกเพศเมียและดอกสมบูรณ์เพศออกเดี่ยวหรือ 2-3 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกทั้งสองเพศก็ได้ ผลดิบมีเนื้อสีขาวอมเขียวมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก
ผลสุกมีเนื้อสีแดงส้ม เนื้อหนาอ่อนนุ่ม รสหวาน มีเมล็ดรูปไข่สีน้ำตาลดำผิวขรุขระมีถุงเมือกหุ้มจำนวนมาก

มะละกอเป็นไม้ผลที่คนไทยนิยมกิน ยอดอ่อนดองกินได้
ผลดิบนำมาปรุงอาหาร ใช้ปรุงส้มตำ แกงส้ม แกงเหลือง แกงอ่อม ผัดไข่ ต้มจิ้มน้ำพริก ผลสุกกินสด
น้ำมีรสชาติหวานหอม มีวิตามินเอและแคลเซียมสูง

นอก จากจะมีการกินภายในประเทศแล้วปัจจุบันยังมีการส่งมะละกอไปจำหน่ายตลาดต่าง ประเทศอีกด้วย พันธุ์ในประเทศใช้กินผลสุกที่ได้รับความนิยมคือพันธุ์แขกดำ ปัจจุบันมีการพัฒนาพันธุ์ครั่งใช้กินดิบเก็บได้นาน เนื้อกรอบ ตำส้มตำได้รสชาติดี



ผลดีต่อสุขภาพ

มะละกอ มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และเกลือโซเดียมต่ำ เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหาร ธาตุโพแทสเซียม วิตามินเอ ซี และโฟเลต แต่ร้อยละ 92 ของพลังงานจากมะละกอสุกมาจากคาร์โบไฮเดรต ผู้ที่ควบคุมอาหารแป้งและน้ำตาลจึงไม่ควรกินมะละกอมากเกินไป

สีแดงอมส้มที่พบในมะละกอสุกแสดงว่า มะละกอสุกมีสารไลโคพีนซึ่งเป็นสารช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

มะละกอ สุกอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีน วิตามินซี สารฟลาโวนอยด์ สารโฟเลต กรดแพนโทเทนิก ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร สารอาหารเหล่านี้บำรุงสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด และป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่อีก ด้วย นอกจากนี้มะละกอมีเอนไซม์ปาเปน สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทางการกีฬา

นอกจาก นี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินสบรุ๊ค ประเทศออสเตรีย พบว่ามะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระ สูงสุดเมื่อสุกงอม เนื่องจากคลอโรฟิลล์สีเขียวเปลี่ยนเป็นสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อย่างเยี่ยมยอดอีกชนิดหนึ่ง เรียก NCCs (nonfluorescing chlorophyll catabolytes) สะสมบริเวณเปลือกผลและใต้ผิวเปลือก เวลาปอกมะละกอสุกจึงไม่ควรกรีดริ้วบริเวณใต้เปลือกเพราะจะสูญเสียคุณค่า อาหารนี้ไป

ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
มะละกออาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ
ที่ มีสาเหตุจากโรคเบาหวานได้ดี มะละกอมีวิตามินซี วิตามินอีและวิตามินเอ (ในรูปของสารแคโรทีนอยด์) ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของคอเล สเตอรอล เชื่อว่าวิตามินซีและอีช่วยการทำงานของเอนไซม์พาราออกโซเนสซึ่งหยุดการเกิด อนุมูลอิสระของคอเลสเตอรอล

เส้นใยอาหารในมะละกอช่วยลดคอเลสเตอร อลส่วนกรดโฟลิกใช้เปลี่ยนกรดอะมิโฮโมซิสเทอีนเป็นกรดอะมิโนซิสเทอีนที่ไม่มี พิษภัยอะไร ถ้ามีโฮโมซิสเทอีนอยู่มากกรดอะมิโนนี้จะทำลายผนังหลอดเลือด เกิดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองอุดตันได้

ช่วยระบบทางเดินอาหาร
สาร อาหารในมะละกอช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ เส้นใยอาหารจากมะละกอสามารถจับกับสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่และพาส่งออกทำ ให้เกิดการสัมผัสกับเซลล์ลำไส้ใหญ่น้อยที่สุด และสารโฟเลต บีตาแคโรทีน วิตามินซีและอี ที่พบในมะละกอ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยลดการถูกทำลายของสารพันธุกรรมในเซลล์ดังกล่าวด้วยอนุมูลอิสระ

ฤทธิ์ต้านอักเสบ
มะละกอ มีเอนไซม์ปาเปนและไคโมปาเปนช่วยย่อยโปรตีน เอนไซม์เหล่านี้สามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ได้ งานวิจัยจากประเทศมาเลเซียพบว่า สารสกัดจากเปลือกผลมะละกอดิบเร่งอัตราเร็วของการสมานแผลในหนูทดลองได้เร็วกว่าการใช้ยาทา Solcoseryl ถึง 1 สัปดาห์

บีตา แคโรทีน วิตามินซีและอีในมะละกอก็มีฤทธิ์ลดการอักเสบเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคข้อเสื่อม และข้ออักเสบรูมาตอยด์จะได้ประโยชน์จากการกินมะละกอเพื่อลดอาการของโรคดัง กล่าว ปัจจุบันมีการใช้เอนไซม์จากมะละกอดังกล่าวผลิตเป็นยาเม็ด ลดอาการบวม การอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัดแล้ว

ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน
ร่าง กายมนุษย์สามารถเปลี่ยนบีตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุกเป็นวิตามินเอและซีได้ เนื่องจากร่างกายต้องการวิตามินทั้งสองเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำหน้าที่ได้ราบรื่น จึงพบว่าการกินมะละกอ เป็นประจำอาจลดความถี่การเกิดไข้หวัดและการติดเชื้อในช่องหูได้

การป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม
งาน วิจัยตีพิมพ์ในต่างประเทศกล่าวว่าการกินผลไม้ 3 ครั้งต่อวันอาจลดความเสี่ยงของอาการภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ อันเป็นสาเหตุของการเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ เนื่องจากคนไทยกินมะละกอ ทั้งดิบหรือสุกอยู่เป็นปกติ ดังนั้นเราจึงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าวลดลงในยามชรา

ป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพองและมะเร็งปอด
งาน วิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกาพบว่า สารก่อมะเร็งจากบุหรี่ (benzo(a)pyrene) ทำให้เกิดการขาดวิตามินเอในสัตว์ทดลองที่ได้รับอาหารปกติ และเกิดอาการถุงลมปอดโป่งพอง แต่สัตว์ที่ได้รับวิตามินเอปริมาณมากแต่ได้รับสารดังกล่าวไม่พบว่ามีอาการ ถุงลมปอดโป่งพอง

ผู้วิจัยจึงเชื่อว่าผู้ที่สูบบุหรี่หรือได้รับควัน บุหรี่เป็นนิตย์ควรป้องกันตนเองโดยการกินอาหารที่มีวิตามินเอสูงเป็นประจำ และมะละกอสุกก็เป็นหนึ่งในอาหารดังกล่าว

เมล็ดมะละกอใช้รักษามะเร็ง
ที่ประเทศอินเดียกล่าวสืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ ว่าเมล็ดมะละกอใช้รักษาโรคมะเร็งได้ งานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นรายงานเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2550 นี้ว่า เมล็ดมะละกอมีเอนไซม์ไมโรซิเนส และสารเบนซิลกลูโคซิโนเลตในปริมาณมาก

สาร เบนซิลกลูซิโนเลตนี้ส่วนใหญ่พบในพืชวงศ์คะน้า มีฤทธิ์ขับไล่สัตว์กินพืชในธรรมชาติ แต่มนุษย์ย่อยสารนี้โดยใช้เอนไซม์ไมโรซิเนส ได้สารต้านมะเร็ง งานวิจัยยังพบว่าสารสกัดเฮกเซนของเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสาร ซูเปอร์ออกไซด์ และมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งแบบอะป๊อปโทซิส จะเห็นว่าเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้จริงตามภูมิปัญญาการแพทย์อินเดีย แต่ต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะมีการพัฒนาเป็นยาแผนปัจจุบันได้ต่อไป


จากมะละกอมาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
มะละกอ นอก จากกินเป็นผลไม้ได้อร่อยแล้ว ยังนำไปทำเป็นน้ำมะละกอ หรือชามะละกอได้ น้ำมะละกอ สุกช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยการทำงานของลำไส้ ทำความสะอาดไต และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีอีกด้วย ส่วนชามะละกอดิบช่วยล้างระบบดูดซึมสารอาหาร คือ ล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ซึ่งเกาะตัวที่ผนังลำไส้ ที่ขัดขวางการดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย

ปัจจุบันมีน้ำมะละกอหมักจำหน่ายแพร่ หลายในประเทศญี่ปุ่น ที่ทำเป็นผงบดแห้งก็มี แต่ประเทศไทยปลูกมะละกอได้ผลตลอดปีเรามาทำน้ำมะละกอสดดื่มกันเองดีกว่า

น้ำมะละกอสุก
เลือก มะละกอที่สุกกำลังดี เนื้อไม่แข็ง หรือเละจนเกินไป เนื้อเนียน รสหวาน นำมะละกอสุกหั่นเอาแต่เนื้อครึ่งถ้วย น้ำเย็นจัด 1 ถ้วย ผง อบเชย 1/8 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนชา ปั่นมะละกอกับน้ำเย็นจัด เกลือ น้ำมะนาวเข้าด้วยกัน รินใส่แก้ว โรยด้วยผงอบเชย ดื่มเย็นๆ ทันที


ชามะละกอจากผลมะละกอดิบ
ใช้มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งผล ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพิ่มดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือรากเตยไปด้วยถ้ามี

ดอกเก๊กฮวยและใบเตยมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ส่วนรากเตยช่วยฟื้นฟูตับอ่อนให้มีกำลัง
ปอก เปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นแบบชิ้นฟัก นำชิ้นมะละกอใส่หม้อ เติมน้ำ 3-4 ลิตร ตั้งไฟ (ใส่ดอกเก๊กฮวย หรือใบเตย หรือรากเตยตามชอบ) เมื่อน้ำเดือดสักพักหนึ่งยกหม้อลง ตักมะละกอ และดอกเก๊กฮวยออก ให้เหลือแต่น้ำ นำน้ำดังกล่าวไปชงชา ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ หลัง 5 นาทีกรองเอากากชาออก ทิ้งไว้ให้เย็นดื่มได้ทันที หรือบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน

สูตรโบราณจากประเทศ อินเดียที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันให้เคี้ยวเมล็ดจากผลสุกสิบเมล็ดพร้อมกลืน ช่วยกระตุ้นระบบน้ำดี ย่อยไขมัน ล้างระบบทางเดินอาหาร และช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ

มะละกอเสริมความงามผิวพรรณ
เอนไซม์ ปาเปนที่พบในมะละกอ ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย ทั้งด้านเภสัชกรรม โรงผลิตเบียร์ โรงงานเครื่องหนัง อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา เอนไซม์ปาเปนถูกใช้ในเครื่องสำอางได้เนื่องจากเอนไซม์ดังกล่าวสามารถย่อย สลายคอลลาเจนได้ ช่วยเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว จึงใช้ทดแทนสารสังเคราะห์ แอลฟาไฮดรอกซีแอซิด (alphahydroxy acids; AHA) ได้ และมีคุณสมบัติช่วยย่อยโมเลกุลของโปรตีนด้วย

ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องนำเข้าเอนไซม์ปาเปนจากต่างประเทศ
ปัจจุบันสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้สนับสนุนภาคเอกชนไทยผลิตเอนไซม์ปาเปนจากมะละกอดิบ
พัฒนาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา ทดแทนกรดผลไม้ที่มีค่าความเป็นกรดสูง พร้อมลดการนำเข้าจากต่างประเทศปีละกว่า 60 ล้านบาท

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หรือมีปัญหาเรื่องสิวบนใบหน้า สามารถทำมาสก์มะละกอสุกใช้เอง เพื่อผิวหน้าที่อ่อนนุ่มได้ตามสูตรข้างล่างนี้ค่ะ

สูตรที่ 1
ใช้ มะละกอสุกปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆ สัก 2-3 ชิ้น บดขยี้ด้วยช้อนจนละเอียด แล้วนำมะละกอ ดังกล่าวบดมาทาให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาทิ้งไว้สัก 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้สัปดาห์ละครั้ง ผิวที่แห้งจะเริ่มชุ่มชื้น นุ่มนวล กระชับขึ้น เป็นสูตรโบราณจากประเทศอินเดียใช้ลบริ้วรอยได้ดี

สูตรที่ 2
เหมือน สูตรข้างบน แต่เมื่อบดเนื้อมะละกอ แล้วให้ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติปริมาณพอข้นให้เข้ากัน ทิ้งส่วนผสมไว้สัก 5 นาที นำมาพอกหน้าและคอ แขน มือ ทิ้งไว้ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วทาครีมบำรุงทันที ผิวจะนุ่ม และใสขึ้นเรื่อยๆ ใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจะลบริ้วรอยได้
มะละกอ...ผลไม้ธรรมดาๆ แต่มากไปด้วยคุณค่า บรรพบุรุษคนไทยนี่ช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ ที่ปลูกมะละกอไว้กินกันแทบทุกบ้านเลย ประกอบอาหารได้ทั้งคาวหวาน แถมใช้บำรุงความงามได้อีก
อย่าลืมลองสูตรมาสก์พอกหน้ากันนะคะ ของดีของไทยยุคเศรษฐกิจพอเพียงค่ะ

วิธีต้มชามะละกอจาก www.pendulumthai.com

วันนี้คุณล้างลำไส้หรือยัง

วิธีต้มชามะละกอจากผลมะละกอดิบ

จากเว็บไซต์
http://www.doctor.or.th/node/6412

ใช้มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งผล ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพิ่มดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือรากเตยไปด้วยถ้ามี

ดอกเก๊กฮวยและใบเตยมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ส่วนรากเตยช่วยฟื้นฟูตับอ่อนให้มีกำลัง
ปอก เปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นแบบชิ้นฟัก นำชิ้นมะละกอใส่หม้อ เติมน้ำ 3-4 ลิตร ตั้งไฟ (ใส่ดอกเก๊กฮวย หรือใบเตย หรือรากเตยตามชอบ) เมื่อน้ำเดือดสักพักหนึ่งยกหม้อลง ตักมะละกอ และดอกเก๊กฮวยออก ให้เหลือแต่น้ำ นำน้ำดังกล่าวไปชงชา ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ หลัง 5 นาทีกรองเอากากชาออก ทิ้งไว้ให้เย็นดื่มได้ทันที หรือบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน

สูตรโบราณจากประเทศ อินเดียที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันให้เคี้ยวเมล็ดจากผลสุกสิบเมล็ดพร้อมกลืน ช่วยกระตุ้นระบบน้ำดี ย่อยไขมัน ล้างระบบทางเดินอาหาร และช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ

ผลิตภัณฑ์ชามะละกอ

ข้อมูลจาก http://ravin.ibuy.co.th/shop

ชามะละกอพร้อมดื่ม ตรารวิน

ชามะละกอเป็นชาสมุนไพร ที่มีส่วนผสมของมะละกอ ชาเขียว ใบเตย ซึ่งทั้ง 3 อย่างมีส่วนช่วยในการล้างไขมันที่เกาะติดผนังลำไส้ ลดคอเลสเตอรอล และบำรุงหัวใจ

ชามะละกอพร้อมดื่ม ตรารวิน ผ่านกรรมวิธีพาสเจอร์ไรส์ ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีวัตถุกันเสีย
ไม่เจือสี

ปริมาตรสุทธิ 350 ml.

ประโยชน์ของชามะละกอ

ขออบคุณข้อมูลจาก หนังสือกินเป็น ลืมป่วย (คู่มือเพื่อสุขภาพดี ราศีแจ่มใส)

การ ดื่มชามะละกอ จะเป็นการล้างลำไส้โดยไม่ต้องสวนทวารช่วยล้างระบบดูดซึม คือ ล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ อันเนื่องมาจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้เป็นกาวเหนียว จึงเกิดการขัดขวางการดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี หรือดูดซึมไม่ได้ เวลากินอาหารก็ได้แค่อิ่ม แต่ไม่ได้สารอาหาร เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้า ความเจ็บป่วยก็จะเข้ามาเยือน เมื่อร่างกายปกติดีไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี
สารของมะละกอจะเกิดการถักทอกับสารของใบชา ทำให้ช่วยย่อยไขมันและล้างไขมันออกจากผนังลำไส้ ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ ดื่มแทนน้ำอัดลมได้ ( เด็ก , ผู้ใหญ่ดื่มได้ ไม่ต้องสงสัยรอโทรถามใคร )

"ถ้าไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเหมือนกินข้าวไม่ล้างจาน แล้วใช้จานใบเก่าที่ไม่ล้างเอามาใส่ข้าวกินใหม่"

เมื่อล้างลำไส้แล้ว ก็ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อไปบำรุงร่างกายด้วยถ้าหลีกเลี่ยงอาหารผัดน้ำมันไม่ค่อยได้ ก็กินเท่าที่จำเป็นคือกินให้น้อยลง แล้วกินชามะละกอไปล้างลำไส้ทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง

"สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง"

สนใจติดต่อเป็นตัวแทนจำหน่าย
ชามะละกอพร้อมดื่ม ตรารวิน
โทร. 086-3974332



วิธีต้มชามะละกอกินเองจาก www.pendulumthai.com

การเกรี้ยวกราดกับลูก

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=110950&Ntype=6

มีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้านและสั่งให้ทุกคนในบ้าน ช่วยกันดูแล เพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่พันธุ์ ดีนี้ และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลมันอย่างดีเป็นเชอรี่ต้นโปรดของคุณพ่อทีเดียว

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่คุณพ่อออกไปทำงาน ลูกชายชื่อจอร์จซึ่งได้ขวานเล็กๆ อันใหม่มา ด้วยความซน ก็ฟันนู่นฟันนี่ แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้า ต้นเชอรี่ค่อยๆ เอนตัวแล้วก็ล้มลงกับพื้น เหลือแต่ตอที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว เมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้านเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบ

จนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ก็ตะโกนเรียก ด้วยเสียงอันดังว่า
"จอร์จ มา นี่ซิ "

จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อ คุณพ่อได้ถามจอร์จว่า
"จอร์จ ลูกรู้ไหมว่าทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้"

จอร์จก้มหน้าแต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า .....

"ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับว่า ผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง"

คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน" ?.

จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ คุณพ่อก็เข้ามาในห้อง และถามจอร์จว่า....

"ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ"

จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง"

แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความละอาย
แล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า

"จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ ..... ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่าที่ลูกของพ่อซื่อสัตย์ และกล้าหาญที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดีเต็มสวนก็ไม่มีประโยชน์ อะไร"

จอร์จจดจำเรื่องราวเหล่านี้ และใช้ความกล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดมา....

จนกระทั่งในการดำรงฐานะเป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ฟังแล้วประทับใจในวิธีการ สอนของคุณพ่อ .....
แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูก หรือให้ความสำคัญกับสิ่งของแต่คุณพ่อกลับพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน....
ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต ถ้าคุณพ่อทำโทษแรง ๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ ได้?..

ในชีวิตมีสักครั้งไหม....ที่เราเกรี้ยวกราดกับสิ่งที่ไม่มีวันได้คืนบ้างหรือเปล่า?.....

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่ ไหว้ศาลพระภูมิ และอื่น (เจ้าจีน+ไทย) ใช้ธูปกี่ดอก

ข้อมูลจากเว็บไซต์

http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=089624931086e75e

การจุดธูปบูชา เสริมดวงชะตาหรือขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของความเชื่อที่สืบทอดต่อๆกันมา
การจุดธูป เทียน หมายถึง ไหว้พระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์
การจุดเทียน เป็นตัวแทนของ แสงสว่างชีวิต ดอกไม้หอม แทนคุณงามความดี ความเจริญ
การสักการะถือเป็นการทำอมิสบูชาให้เกิดมงคลแก่ชีวิตโดยการบูชาสิ่งที่ดี ทำให้ตัวเรา มีบารมีมากขึ้น จึงใจสงบขึ้น

การสักการะใช้ธูปกี่ดอก
1.พระพุทธรูป ใช้ 3 ดอก แทนพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
2.พระสงฆ์ ใช้ 3 ดอก แทนพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณ
3.พระสงฆ์ พระเกจิอาจารย์บรรลุธรรม จุดธูป 9 ดอก แทนพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณ
4.พระพุทธเจ้าหลวง เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 ขอพร จุดธูป 9 ดอก
5.พระโพธิสัตว์กวนอิม ขอพรจุดธูป 9 ดอก
6.พระแม่อุมาเทวี ขอพรจุดธูป 9 ดอก
(องค์เทพองค์พรหม)
- บน 39 ดอก
- บวงสรวง 16 ดอก
7.ปู่ฤาษี ขอพรจุดธูป 9 ดอก
8.พระภูมิเจ้าที่
- เทพ ใช้ธูป 9 ดอก
- เทวดาธรรมดา 5 ดอก
- ผี 1 ดอก
9.กุมารทอง
- จากวัด ใช้ธูป 5 ดอก
- วิญญาณลูก 1 ดอก
10.ไหว้บรรพบุรุษ ให้จุดธูป 1 ดอก
11.ว่านมงคลกาหลง ให้ธูป 5 ดอก
12.พระแม่นางกวัก ให้จุดธูป 9 ดอก

การจุดธูป 1 ดอก : เป็นการจุดไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน วิญญาณภาคพื้น
การจุดธูป 2 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและการจุดธูปบนอาหาร
การจุดธูป 3 ดอก : เป็นการจุดธูปบูชาพระรัตนตรัย บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
การจุดธูป 4 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวกับธาตุสี่ ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตาราศี
การจุดธูป 5 ดอก : เป็นการจุดธูปบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่และครูบาอาจารย์
การจุดธูป 6 ดอก : เป็นการ จุดธูปเสริมดวงชะตาตามกำลังไฟของอาทิตย์(1) คนที่เกิดวันอาทิตย์
การจุดธูป 7 ดอก : เป็นการจุดบูชาจิตวิญญาณตามศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ และครูบาอาจารย์ที่เสียชีวิตแล้ว
การจุดธูป 8 ดอก : เป็นการเสริมดวงชะตา ตามกำลังพระอังคาร (3) และตามจำนวนอัฎฐเคราะห์
การจุดธูป 9 ดอก เป็นการจุดธูปบูชาผู้มีพระคุณ พระภูมิเจ้าที่ -เทพ เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขะเทวดา ศาลพระภูมิ ศาลเทพ
การจุดธูป 10 ดอก เกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ตามกำลังของพระเสาร์ (7) มีกำลัง 10 เพื่อใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา
การจุดธูป 11 ดอก : ใช้บูชาเทวดาชั้นสูง
การจุดธูป 12 ดอก : ในการบูชาตามกำลังพระราหู (8) ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา คนที่เกิดวันพุธกลางคืน
การจุดธูป 13 ดอก : เป็นเลขไม่เป็นมงคล จึงไม่นิยมจุดบูชา
การจุดธุป 14 ดอก ใช้จุดธูปบูชารูปปั้นพระสงฆ์ (เป็นการบูชาคุณพระสงฆ์)
การจุดธุป 15 ดอก ใช้สวดบูชาดวงชะตา เกี่ยวข้องกับธาตุ ตามกำลังของดาวจันทร์ (2)
การจุดธุป 16 ดอก เป็นการจุดธูปบูชาเทพชั้นสูง บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น
การจุดธุป 17 ดอก เป็นการเสริมดวงชะตา สวดเสริมดวงชะตา
การจุดธูป 18 ดอกไม่นิยมจุด
การจุดธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ
การจุดธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ การบูชาแม่พระธรณี
การจุดธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ การไหว้ 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดินครับและ 1โลกมนุษย
การจุดธูป 39 ดอก การบูชาพระแม่โพสพ
การจุดธูป 56 ดอก เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบูชาคุณพระพุทธเจ้า
การจุดธูป 108 ดอก บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า