วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เมื่อหมอรักษามะเร็งของตัวเอง

...สวัสดีครับ หนังสือเล่มนี้ ผมเขียนขึ้นหลังจากตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายได้ 3 ปี 2เดือน ทุกวันนี้ผมยังคงอยู่ได้สบายๆและไม่ได้ไปติดตามการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันแต่อย่างใด แต่ที่ผมได้ทำอยู่ทุกวันตั้งแต่ป่วยมาก็คือ การมาอยู่ในระเบียบวินัยวิถีชีวิตของเกอร์สันเป็นวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด (ซึ่งวิถีชีวิตเกอร์สันท่านอ่านดูได้จากหนังสือเล่มนี้ครับ)
เช่นเดียวกันกับการปฏิบัติตัวในแนวเกอร์สัน ผมผ่านประสบการณ์มากขึ้นกลั่นกรองเนื้อหาได้มากขึ้น ผมพยายามหาแนวเกอร์สันแบบไทยๆมากขึ้น แล้วตอนนี้กำลังรวบรวมอยู่ให้มากเข้าไว้เพื่อจะได้เขียนในครั้งต่อๆไป
หนังสือเล่มนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ หากสำนักพิมพ์จะเอาไปพิมพ์ก็เชิญตามสบาย  หากใครจะคัดลอก,ทำซ้ำ,ทำเผยแพร่ต่อๆไป เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับรู้ ข้อมูลด้านนี้ก็จะเป็นที่น่ายกย่องยินดี เพราะท่านกำลังทำความดีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ขอให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกท่านสู้ต่อไป มะเร็งหายได้ครับ
และท่านจะรู้ว่าโลกหลังมะเร็งสุขเพียงใด
  น.พ. คทารัตน์    บุญนิธิพันธุ์
        20  มิถุนายน 2557หลังเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายได้
3 ปี 2 เดือน กับอีก 8 วันแล้ว
7 เรื่องที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องรู้
... เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอดได้ และถ้าทำได้ใน 7 เรื่องนี้ไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลือก็จะหายขาดจากมะเร็ง (ใช่ครับ!! หายขาดจากมะเร็งได้ครับ)
เรื่องที่ 1 ต้องรู้ว่า มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อม คือ ร่างกายเสื่อมลงทุกระบบ มะเร็งมีสาเหตุมากกว่าที่เราเห็นและซับซ้อนกว่าที่เป็น
เรื่องที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด อย่าอยู่กับแนวชีวิตเดิมๆที่ผ่านมา เพราะการเป็นอยู่แบบเดิมๆนั่นแหละที่นำตัวท่านไปสู่โรคมะเร็
เรื่องที่ 3 อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง  มีอาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องรู้ว่า “ ห้ามทาน “ และมีอะไรบ้างที่ผู้ป่วยมะเร็งทานได้
เรื่องที่ 4 น้ำคั้นผักสด,น้ำคั้นผลไม้สด  ที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องดื่มกันวันละ 10-13 แก้ว
เรื่องที่ 5 การสวนกาแฟ เพื่อขับพิษออกจากร่างกาย
เรื่องที่ 6 อาการถอนพิษ
เรื่องที่ 7 ยาเสริมให้ร่างกายแข็งแรง
เรื่องที่ 1 มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อม
ตั้งใจอ่านดีๆนะครับ  เพราะเรื่องที่ผมจะบอกต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีแพทย์ท่านใดบอกให้ผู้ป่วยมะเร็งทราบมาก่อน ผมจะบอกที่มาที่ไปของโรคมะเร็งให้ทราบครับ
โรคมะเร็งมันเป็นภัยเงียบครับ  ขบวนการก่อเกิดมะเร็งจะใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป ขบวนการก่อเกิดโรคจะใช้เวลาสะสมนาน 20-30 ปีครับ มันเริ่มจากชีวิตเราๆท่านๆพัฒนาจากชีวิตชนบทมาเป็นชีวิตในเมือง
ชีวิตที่ห่างเห็นจากธรรมชาติมากขึ้นๆ มะเร็งมันเริ่มก่อตัวมากับ “อาหารการกิน” ที่เราทานๆกันอยู่ทุกวัน อาหารที่ทำขายหรือวางขายทั่วๆไป อาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหารเจือปนด้วยวัตถุกันเสีย,อาหารใส่สีสารปรุงแต่งรสชาติ,พืชผักที่พ่นสารเคมีฆ่าแมลง,เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรมมีการใช้ฮอร์โมน,สารเร่งเนื้อแดง,ยาปฏิชีวนะ มะเร็งมันมากับ “สภาพสิ่งแวดล้อมของสังคมเมืองที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากขึ้น” และการใช้ชีวิตประจำวัน “การทำงานหนักเครียดพักผ่อนน้อย” โหมงานหนักขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมว่ามานี้ มะเร็งได้เริ่มก่อตัวอย่างเงียบๆ โดยสารพิษ,ความเป็นพิษทั้งหลายที่เรารับมาแต่ละมื้ออาหาร,รับมาแต่ละวัน
ร่างกายจะนำไปทำลายที่ตับและขับออกทางน้ำดีไหลไปสู่ลำไส้ แล้วสารพิษจะถูกขับออกไปกับอุจจาระ ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในขบวนการทำลายพิษครับ คราวนี้พอเรารับสารพิษอยู่เรื่อยๆทุกวัน ตับก็จะทำลายสารพิษทุกครั้งไป จนเวลาผ่านไป 20-30 ปี จนตับมันรับทำลายสารพิษให้ไม่ไหวแล้ว จับสารพิษไม่ทัน ตับเริ่มเสื่อมมากขึ้นๆ แล้วพิษก็สะสมมากขึ้นๆ จนพิษเต็มตับเต็มทั่วร่างกาย ก็จะไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะไหนอ่อนแอสุดก็เกิดมะเร็งในอวัยวะนั้นๆครับ อาการของโรคมะเร็งมันจะค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจน จนต่อเมื่ออาการเด่นชัดแล้วก็เป็นเยอะแล้วครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกครับที่เราจะเจอผู้ป่วยมะเร็งโดยมากก็ในระยะเกือบสุดท้ายหรือสุดท้ายแล้ว
ดังนั้นอย่างที่ผมกล่าวมาข้างต้น มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อมหมายความว่า เสื่อมทุกระบบ เสื่อมทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ตับ ตับเสื่อมมากที่สุด ดังนั้นการรักษามะเร็งนั้นต้องรีบฟื้นตับให้กลับมาดีเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงเดิม,ฟื้นทุกระบบให้กลับมาทำงานได้ดีที่สุด แล้วโรคมะเร็งก็จะหายครับ (ใช่ครับ!หายครับ) ดังนั้นการักษามะเร็งจึงไม่ใช่การผ่าตัด,ไม่ใช่การฉายแสงและไม่ใช่การให้ยาคามีบำบัดเพราะการรักษาเหล่านี้มะเร็งไม่หายมันจะกลับมาเป็นซ้ำ ยิ่งโหมการรักษายิ่งทำให้ผู้ป่วยไปเร็วขึ้น ทั้งการผ่าตัดฉายแสงให้ยาเคมีบำบัดเป็นการทำให้ระบบทุกระบบที่เสื่อมอยู่แล้ว ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม สุดท้ายผู้ป่วยเสียชีวิตจากการรักษา ก่อนจะเสียชีวิตจากตัวโรคมะเร็งจริงๆด้วยซ้ำ
จำไว้นะครับ โรคมะเร็ง การรักษาต้องรีบฟื้นทุกๆระบบของร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่โดยเฉพาะที่ตับ ถ้าฟื้นทันก็ชนะ ถ้าฟื้นไม่ทันก็แพ้ครับ น่าสนนะครับ ตามผมมาเถอะครับ ทางนี้เป็นทางรอดของมะเร็ง
ระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว ยังมีเวลาให้เรากลับตัวทัน ทั้งนี้ผมเรียกว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะถ้าเราเลี้ยวกลับแล้วไปต่อกับการรักษาที่ถูกวิธีโรคมะเร็งก็หายครับ  ถ้าเราไม่เลี้ยวกลับยังเดินหน้าต่อกับการรักษาที่ผิดแบบนี้จบกันครับ  ระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของแต่ละมะเร็งมันไม่เท่ากัน ถ้าเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ,มะเร็งตับอ่อน,มะเร็งปอดหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่,มะเร็งกระเพาะอาหาร,มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดที่มะเร็งที่เซลล์มะเร็งก้าวร้าว มะเร็งพวกนี้มีเวลาให้เรา 2-3 สัปดาห์  ถ้าช้ากว่านี้ไม่ทันการณ์ครับ ยิ่งถ้าแพทย์เองรู้สึกว่าโรคมะเร็งไปเยอะแล้ว  หมดหวังกับตัวโรคเองแล้ว ได้บอกทั้งเปอร์เซ็นต์การรอด,เปอร์เซ็นต์ในการเสียชีวิตให้ผู้ป่วยและญาติทราบก็หดหู่กันทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขที่แพทย์ท่านบอกมาเป็นสถิติทางแพทย์แผนปัจจุบันครับ ถ้าท่านยังเดินตามแผนการรักษาตามนั้นต่อไปผลก็ออกมาไม่แคล้วกับที่ท่านบอก
โชคดีที่ น.พ. แม็กซ์  เกอร์สัน ได้เกิดมาบนโลกใบนี้
โชคดีที่โลกใบนี้มี น.พ.แม็กซ์  เกอร์สัน เกิดมา เพราะแนวคิดที่ว่ามะเร็งเป็นโรคของความเสื่อมก็เป็นแนวคิดของท่านเองครับ น.พ.เกอร์สันมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ1881-1959 ท่านเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ท่านจบแพทย์ศาสตร์ที่เยอรมัน ช่วงแรกๆของการทำงานท่านทำงานอยู่ในเยอรมันต่อมาท่านต้องหนี
ฮิตเลอร์ที่ไล่เข่นฆ่าชาวยิว น.พ.เกอร์สันหนีไปหลายประเทศจนสุดท้ายก็มาลงหลักปักฐานที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา  ตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ น.พ.เกอร์สัน มักมีอาการปวดหัวไมเกรน รบกวนอยู่ประจำ ช่วงที่มีอาการไมเกรน ท่านจะต้องอยู่ในห้องมืดๆเงียบๆทั้งปวดหัวอาเจียน 3-4 วัน ท่านพยายามให้อาจารย์แพทย์ของท่านรักษาให้ก็ไม่หาย อาจารย์แพทย์ได้บอกว่าให้ทำใจอยู่กับโรคนี้ไปจนกระทั่งอายุ 50ปีก็จะดีขึ้น ตอนนั้นน.พ.เกอร์สันพยายามหาหนังสือ,ค้นรายงานทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับไมเกรนทุกเล่มทุกฉบับมาอ่าน
แล้วท่านก็ต้องไปสะดุดสายตากับรายงานฉบับหนึ่งว่า อาหารสามารถรักษาไมเกรนได้ ท่านได้ให้ความสำคัญมากท่านได้ลองทานอาหารด้วยตนเอง บันทึกชนิดของอาหารที่ทั้งทำให้อาการไมเกรนกำเริบกับทำให้ไมเกรนไม่กำเริบ ท่านพบว่า ตราบใดที่ท่านทานมังสวิรัติ,งดเนื้อสัตว์,ไม่กินเกลือ,ไม่ทานอาหารที่มีนม,เนย,ครีมไขมัน ตราบนั้น อาการไมเกรนจะไม่กำเริบแน่นอน ต่อมาท่านได้นำสูตรอาหารไมเกรนของท่านรักษาผู้ป่วยไมเกรน ก็พบว่าผู้ป่วยส่วนมากหายจากปวดหัวไมเกรนจนเป็นที่เลืองลือ ต่อมามีผู้ป่วยไมเกรนคนหนึ่งมาบอกท่านว่า นอกจากอาการไมเกรนจะหายแล้ว แผลจากวัณโรคผิวหนังที่เขาเป็นมานานก็หายด้วย (สมัยนั้นยังไม่มียารักษาวัณโรค ใครเป็นวัณโรคก็เตรียมตัวตายราวกับมะเร็งสมัยนี้แหละครับ) น.พ.เกอร์สันยังแปลกใจมันหายได้อย่างไร
ท่านก็ทดลองให้ผู้ป่วยวัณโรคผิวหนังทานอาหารสูตรไมเกรน แทบทุกรายหายหมด ต่อมาท่านนำสูตรนี้ไปรักษาวัณโรคปอด, วัณโรคไต, วัณโรคกระดูก ปรากฏว่าได้ผลหายเกือบหมด
แล้ววันหนึ่งน.พ.เกอร์สันได้รับการปรึกษาทางโทรศัพท์ ท่านได้ไปบ้านผู้ป่วยหญิงรายหนึ่ง ผู้ป่วยบอกว่า เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดี  ตอนนั้นเธอมีไข้สูง,ตัวเหลือง,ตาเหลือง ที่สำคัญแพทย์ผู้ผ่าตัดได้บอกเธอว่าไม่สามารถทำอะไรให้ได้แล้ว  เธอรู้ว่าน.พ.เกอร์สันน่าจะรักษาเธอได้ จึงได้ปรึกษามา
น.พ.เกอร์สันได้บอกเธอตามตรงว่าท่านไม่มีประสบการณ์ในการรักษามะเร็ง  แต่อย่างไรก็ตามน.พ.เกอร์สันก็เขียนสูตรอาหารรักษาวัณโรคให้เธอไว้ เหตุการณ์ผ่านไป 6 เดือน วันหนึ่งขณะที่น.พ.เกอร์สันตรวจคนไข้อยู่ ท่านก็ต้องตกใจเมื่อท่านได้พบเจอผู้ป่วยผู้หญิงรายนี้ แต่ตอนนี้เธอสบายดีไม่มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ดูเหมือนว่าทุกอย่างหาย  น.พ.เกอร์สันท่านแปลกใจมาก ท่านพยายามคิดว่าไมเกรน,วัณโรคและมะเร็ง มันสัมพันธ์กันอย่างไร
พอได้สูตรอาหารไมเกรนถึงหายแทบทุกราย
ช่วงที่ท่านหนีฮิตเลอร์ไปตามประเทศต่างๆท่านก็รักษาทั้งไมเกรน,วัณโรคและมะเร็ง ท่านก็พบว่าถ้าผู้ป่วยให้ความร่วมมือดี แผนกโภชนาการปฏิบัติทำอาหารตามสูตรโรคก็จะหาย แต่ถ้าแผนกโภชนาการไม่ใส่ใจกับสูตรอย่างเคร่งครัดโรคก็จะไม่หาย สุดท้ายเมื่อท่านลงหลักปักฐานที่นิวยอร์ก ท่านได้สอบใบประกาศโรคศิลป์ของรัฐนิวยอร์กผ่าน ท่านก็ได้รับผู้ป่วยของท่านเองมารักษาที่คลินิก แรกๆก็เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง,ไมเกรน,วัณโรคแล้วก็มะเร็ง จนกระทั่งจากปากต่อปากของผู้ป่วยมะเร็งมาจากทั่วสารทิศของอเมริกา และส่วนใหญ่ก็เป็นรายที่เป็นฯมากแล้ว เป็นประเภทแพทย์ไม่เอาผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยก็ไม่เอาแพทย์แล้ว มันเหมือนกับการบังคับน.พ.เกอร์สันต้องรักษามะเร็งอย่างเดียว
น.พ.เกอร์สันท่านเป็นนักวิชาการไม่ได้รักษาสุมสี่สุมห้า ท่านกลับมาอ่านตำราและรายงานทางการแพทย์ที่รักษามะเร็งทุกเล่มทุกฉบับ สุดท้ายท่านได้ข้อสรุปว่า แพทย์ทุกคน สถาบันการแพทย์ทุกแห่งจะมองว่า มะเร็งมีอาการเป็นก้อน มีก้อนมะเร็งแล้วก็กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แพทย์ทุกคนจะรักษาก้อนมะเร็งด้วยการผ่าตัดหรือไม่เช่นนั้นก็ฉายแสง (สมัยนั้นยังไม่มีการให้ยาเคมีบำบัด ยาเคมีบำบัดเริ่มให้กันหลังน.พ.เกอร์สันเสียชีวิตแล้ว)  แต่พอก้อนมะเร็งถูกตัดออกไม่ช้าไม่นานมะเร็งก็กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ท่านจึงมีแนวความคิดว่า มะเร็งมันต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าก้อน จากนั้นท่านก็ได้ลงมือรักษา,ศึกษามะเร็งตามแนวคิดของท่าน  แล้วท่านก็พบความจริงที่ยังไม่มีแพทย์ท่านใดรู้หรือบอกได้ (รวมถึงผม ถ้าผมไม่มาเป็นมะเร็งปอดเองก็คงไม่สนใจรักษาตัวเองด้วยวิธีน.พ.เกอร์สันอย่างจริงจัง)  มะเร็งเป็นภาวะที่ทุกระบบของร่างกายเสื่อมลงสุดๆ จุดเสื่อมแย่สุดคือตับ ตับกำลังจะหยุดทำงาน ดังนั้นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งรอด คือ ต้องรีบฟื้นฟูร่างกายทุกระบบ ฟื้นทั้งตัว โดยเฉพาะที่ตับต้องรีบช่วยก่อน ต้องรักษาระบบทุกระบบของร่างกายโรคมะเร็งจึงจะหาย (ใช่ครับ!หาย) ค่อยๆตามผมมาครับ
เรื่องที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด
ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้มาอยู่ในระเบียบวินัยการกิน,การเป็นอยู่ที่ต้องขับพิษออกอย่างสม่ำเสมอหลีกเลี่ยงการรับสารพิษทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมอย่างสิ้นเชิง แล้วต้องเปลี่ยนครับ ถ้าไม่เปลี่ยนยังคงดำเนินชีวิตแบบเดิมๆเห็นทีไม่รอดครับ เพราะการกิน,การเป็นอยู่แบบเดิมๆนั่นแหละครับที่นำตัวเราไปสู่มะเร็ง  น่าคิดนะครับ ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่ยังติดตามการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน ยังคงได้รับคำแนะนำอย่าเครียด อย่ากังวล ให้ทำตัวตามปกติแล้วมาติดตามการรักษากับแพทย์ดีๆ (ซึ่งคำแนะนำนี้ ผมก็ใช้อยู่เป็นประจำตอนยังผ่าตัดรักษาผู้ป่วยมะเร็ง และคิดว่าคำแนะนำนี้ยังคงถูกใช้ตลอดไปในโรงพยาบาล)  แต่ปรากฏว่ามะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำแทบทุกราย  พอตอนหลังเป็นมะเร็งปอดซะเองได้มาศึกษาแนวทางเกอร์สันเลยรู้ว่าวิถีการกิน,การเป็นอยู่แบบเดิมๆถ้ายังไม่เปลี่ยนโรคมะเร็งมันจะกลับมาได้อีก เพราสาเหตุต้นตอมันไม่ได้ถูกแก้ไขครับ
ที่สำคัญนะครับ ผู้ป่วยต้องรู้ก่อนว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ซึ่งสังคมไทยญาติๆมักไม่อยากบอกให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็นมะเร็ง ผมว่าวิธีการนี้ยังไม่ถูกนะครับ ที่ถูต้องคือผู้ป่วยต้องรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งอะไร,ระยะไหน เพราะต่อไปนี้วิถีการดำเนินชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่ทั้งการกิน,การเป็นอยู่,การพักผ่อนนอนหลับ  แล้วถ้ามีงานให้ยุ่งให้เครียดต้องหยุดครับ
การงานก็เป็นตัวสำคัญที่จะชี้ว่าท่านจะรอดหรือไม่รอดจากมะเร็ง ยิ่งผู้ป่วยมะเร็งท่านใดมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมาก,งานมีความเครียดมาก (stress) ผมแนะนำให้ท่านหาคนมาทำแทน แล้วท่านพักยาวไม่มีกำหนด เพราะตราบใดที่ท่านมีความเครียดจากงานมาคอยกระตุ้นตลอดตราบนั้นมะเร็งมันก็ยังอยู่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าท่านจะต้องมาอยู่ในแนวทางเกอร์สันแล้ว จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 2 ปี
(ถ้าผู้ป่วยมะเร็งท่านใดรับยาเคมีบำบัดมาด้วยจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปีครับ)
สถานที่ในบ้านก็ต้องจัดกันใหม่ ท่านต้องมีสถานที่ตั้งโต๊ะอุปกรณ์คั้นน้ำผักสด,ผลไม้สด
ท่านต้องมีตู้เย็นขนาดใหญ่เอาไว้เก็บผักสด,ผลไม้สด,ท่านต้องมีสถานที่สวนกาแฟเป็นส่วนตัว อุปกรณ์ใช้ทำอาหารให้ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนมาใช้แสตนเลส ถ้วยจานใส่อาหารต้องเป็นแก้วหรือกระเบื้องเคลือบห้ามใช้จานชามสังกะสีหรือพลาสติก
คนทุกคนในบ้านท่านต้องช่วยกันในการเตรียมผักสด,เตรียมผลไม้สด,เตรียมกาแฟสำหรับสวนทำอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ ถ้าจะให้ดีควรมีผู้มาช่วยทำงานนี้ประจำไปเลย ควรมีซัก2 คนเพราะวันดีคืนดีผู้ช่วยไม่สบายไปซะคนหนึ่งก็ยังมีอีกคนคอยทำได้อยู่ แล้วผมจะค่อยๆบอกในรายละเอียดแต่ละเรื่องต่อไปครับ
เรื่องที่ 3 เรื่องอาหารของผู้ป่วยมะเร็ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดครับสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง และเป็นตัวชี้วัดได้ว่าผู้ป่วยมะเร็งจะรอดไม่รอด,หายหรือไม่หายก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่ผู้ป่วยทานเข้าไป ก่อนอื่นใด ผู้ป่วยมะเร้งต้องรู้ว่า  “มะเร็งมันโตขึ้นมาได้มันก็ต้องใช้อาหารของมันเหมือนกัน”  ดังนั้นหลักการเรื่องอาหารผู้ป่วยมะเร็งก็คือ  ทานอาหารเอาไปฟื้นฟูภาวะร่างกายให้กลับมาแข็งแรง ขณะเดียวกันต้องดทานทุกสิ่งทุกอย่างที่มะเร็งจะนำไปเป็นอาหารของมันได้  อาหารที่มะเร็งมันชอบมากได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์,จากเห็ดทุกชนิด,ไขมันทุกชนิด (ยกเว้น Flax Seed Oil ที่มะเร็งเอาไปใช้ไม่ได้) ,เกลือ (มะเร็งจะนำเกลือไปเป็นตัวเร่งขบวนการให้มันอยู่รอดแล้วโตได้) แล้วยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่เราอาจคาดไม่ถึงว่ามันเป็นอาหารของมะเร็งได้ซึ่งห้ามทานครับ
อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งห้ามทาน
- เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ต้องงดโดยเด็ดขาด
- ของมันทุกชนิด  อาหารที่ใส่นม,เนย,ไข่,ครีม,ของทอดห้ามทาน
- อาหารที่ใส่เกลือ น้ำปลา ,ซีอิ้ว,ซอสปรุงรส,กะปิ,ปลาร้า,ผงชูรส,เต้าเจี้ยว
- อาหารที่หมักดองทุกอย่างห้ามทาน
- อาหารที่วางขายทั่วไป, อาหารตามสั่ง,อาหารในภัตตาคาร,ร้านอาหาร ห้ามทาน เพราะอาหารดังกล่าวจะใส่ทุกอย่างที่ผู้ป่วยห้ามทานมาอยู่แล้ว
- อาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหารบรรจุวางขายตามชั้นวางของ  ในร้านสะดวกซื้อ  ในห้างใหญ่ ซึ่งบรรจุในรูปกล่อง,กระป๋อง,ถุง,ขวด,ซอง ห้ามทานเพราะอาหารพวกนี้มักใส่สารกันบูดเจือสี,ใส่สารแต่งรสชาติ เป็นโทษกับผู้ป่วยมะเร็ง
- อาหารเสริมที่โฆษณา,อาหารเสริมทางการแพทย์ ห้ามทาน เพราะอาหารเสริมนี้จะไปทำให้มะเร็งโตเร็วมาก
- บุหรี่,สุรา,ชา,กาแฟ เลิกไปเลยครับตลอดชีวิต
- เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าเห็ดสด,เห็ดแห้ง ห้ามทาน
- งา,ถั่วทุกชนิด ไม่ว่าเป็นถั่วแดง,ถั่วเขียว,ถั่วดำ,ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่นเต้าหู้,นมถั่วเหลือง ห้ามทาน เพราะทั้งถั่วและงามีไขมันเยอะมากเป็นอาหารของมะเร็ง
- เนื้อมะพร้าว,จาวมะพร้าว มีไขมันสูงเช่นกันห้ามทาน
- พริกเผ็ดมากๆและเครื่องเทศที่ทำให้เผ็ดร้อน ห้ามทานเพราะจะไปยับยั้งขบวนการหายของร่างกาย
- แตงกวาและสับปะรด ห้ามทานเพราะแตงกวาย่อยยาก,สับปะรดมีสาร    มะเร็งสามารถดึงไปใช้ได้
- น้ำปั่นหรือผลไม้ปั่นขาย ห้ามทาน
- แป้งขาวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขาว เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว,ขนมปัง,เส้นบะหมี่ ห้ามทาน รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกยี่ห้อ
- ขนมหวาน,ลูกอม,ช็อคโกแลต,ขนมกรุบกรอบ ห้ามทาน
- หน่อไม้,พืชต้นข้าวอกใหม่ ห้ามทาน
- สาหร่าย ห้ามทาน
- อะโวคาโด้ ห้ามทานเพราะมีไขมันสูง
(ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผมที่เกี่ยวกับผักผลไม้ฤทธิ์ร้อน ซึ่งผมสังเกตตัวเองว่าถ้ากินผักหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนแล้วมักมีอาการไม่สบายเนื้อตัว หรือมีแผลร้อนในเยอะมาก,มีอาการไอหอบหืด,จามเยอะมาก จึงเขียนลงเอาไว้เผื่อท่านผู้อ่านจะหลีกเลี่ยงผัก,ผลไม้ฤทธิ์ร้อน)
ผักและกลุ่มของร้อน(มีฤทธิ์ร้อน) ได้แก่ ข้าวเหนียว,ข้าวแดง,ข้าวนิล,ข้าวอาร์ซี,ข้าวสาลี,ข้าวบาร์เล่ย์,เผือก,มัน,กลอย,รำข้าว,จมูกข้าว,เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดอัลมอน,เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ผักที่มีรสเผ็ด เช่น กระชาย,กระเพา,ยี่หร่า,โหระพา,แมงลัก,กุ้ยช่าย(ผักแป้น),ต้นหอม,หอมหัวใหญ่,หอมแดง,ผักชี,พริกไทย,ขิง,ข่า,ขมิ้น,ไพล,ใบมะกรูด,ตะไคร้
นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่มีรสเผ็ดแต่มีฤทธิ์ร้อน เช่น คะน้า,แครอท,บีทรูท,กะหล่ำปลี,ชะอม,ถั่วฝักยาว,ถั่วพู,สะตอ,ลูกเหนียง,กระเฉด,ลูกตำลึง,โสมจีน,โสมเกาหลี,ผักกาดเขียวปลี,ใบยอ,ผักแขยง,ยอดเสาวรส,เม็ดบัว,แพงพวยแดง,ใบ ยอด เม็ดกระถิน,พืชที่มีกลิ่นฉุน
ผลไม้ฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ฝรั่ง,ขนุนสุก,ลิ้นจี่,เงาะ,ลำไย,ทุเรียน,น้อยหน่า,สละ,องุ่น,ส้มเขียวหวาน,กล้วยไข่,มะตูม,ละมุด,กล้วยปิ้ง,ลองกอง,เสาวรส,มะเฟือง,มะปราง,สมอพิเภก,มะไฟ,ทับทิมแดง,มะม่วงสุก,ลูกยอ,กระเจี๊ยบแดง
ดูๆแล้วคล้ายกับว่าผู้ป่วยมะเร็งถูกห้ามทานทุกอย่าง จริงๆไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่เนื่องจากอาหารที่ห้ามทานเป็นอาหารที่คนทั่วไปเขาทานกันแทบทั้งนั้น ยังมีผักผลไม้อีกเยอะแยะครับที่ทานได้ โดยหลักการอาหารผู้ป่วยมะเร็งต้องเป็นฯอาหารมังสวิรัติ (ยิ่งเป็นผักสด,ผลไม้สดได้ยิ่งดี) ไม่มีไขมัน ไม่ใส่เกลือ น้ำปลา มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับอาหารต้านมะเร็งซึ่งผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ เช่น ของสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ ก็มีหลายเล่มที่เขียน รายการอาหารต้านมะเร็ง เบอร์โทร 02-5137670, หนังสือ “ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง” (ข้างในเล่มจะมีเมนูอาหารสลายมะเร็งให้อ่านเยอะดีนะครับ) ของบริษัท เอ็ดดูเคชั่น ไมน์ด ไลน์ มัลติมีเดีย จำกัด เบอร์โทร 02-7361337 , หนังสือ “ความลับฟ้า” ของอ.ใจเพชร (หมอเขียว) เบอร์โทร 086-7562357 ซึ่งเล่มนี้มีผักพื้นบ้าน มีเรื่องผักฤทธิ์เย็น,ผลไม้ฤทธิ์เย็น (ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งกินได้) มีเรื่องผักและผลไม้ฤทธิ์ร้อน (ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรกิน) ต่การทำอาหารของ อ.ใจเพชรเป็นเมนูปรับพื้นฐานสุขภาพแทบทุกรายการจะใส่เกลือ ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งต้องงดเกลือครับ แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้องซีเรียสครับ ยิ่งท่านอ่านหนังสือแนวนี้ ท่านจะพบว่ารายละเอียดแต่ละเล่มจะแตกต่างกัน อ่าน20เล่มก็เจอรายการต่างกัน20รายการ แถมบางเรื่องรายการเล่มนี้บอกให้ทานได้,ให้ใช้ได้ แต่เล่มโน้นบอกห้ามทาน,ห้ามทำก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ เหมือนผมตอนแรกๆอ่านหลายเล่มก็สับสนสุดท้ายก็ยึดหนังสือของน.พ.เกอร์สันเป็นหลัก แต่พอทำตามหนังสือของน.พ.เกอร์สันได้ประมาณ2ปีก็ติดปัญหาจาม,ไอหอบหืด,แผลร้อนในเยอะมากก็ลองอ่านของอ.ใจเพชร ท่านมีผักฤทธิ์เย็น,ผลไม้ฤทธิ์เย็น ผักพื้นบ้าน ผลไม้พื้นบ้านก็มาปรับใช้ อาการที่กล่าวมาก็ดีขึ้นมาก ผมเลยซาบซึ้งว่าผักผลไม้ของแต่ละประเทศ แต่ละทวีป ก็เหมาะกับคนท้องถิ่นนั้นๆ ผักผลไม้ของอ.เกอร์สันก็เหมาะสำหรับฝรั่งอเมริกา ส่วนคนไทยเราผักพื้นบ้านฤทธิ์เย็นนี้แหละที่ดีที่สุดครับ
สำหรับผมเอง มื้อเช้าจะทานข้าวกล้องสวย 1 จานกับผัดผักรวม1จานก็ผัดโดยใช้น้ำแทนน้ำมัน ผักก็เป็นผักพื้นบ้านเช่น ผักหวาน,ผักตำลึง,มะเขือ,ผักกวางตุ้ง, ผัดไม่ใส่เกลือ,ไม่ใส่น้ำปลา
แรกๆที่ผมต้องทานอาหารแบบนี้ ผมก็ต้องฝืนกินครับ เพราะมันจืดสนิท แต่พอผ่านไปซัก1เดือนก็เริ่มรับได้กับรสชาดหวานอ่อนๆของน้ำผัก เพราะฉะนั้นนิสัยความชอบในรสชาติฝึกกันได้ครับ ส่วนมื้อกลางวันผมมักทำสลัดพื้นบ้านสดๆ เช่น ผักบุ้งนา,ยอดฟักทอง,ผักหวาน,กะหล่ำดอกดิบๆ บร็อคโครี่ดิบๆ,ก้านสายบัว หั่นรวมกันซักถ้วยชามหนึ่ง แล้วบีบมะนาว ราดด้วย Flax Seed Oil 2 ช้อนชา (สั่งซื้อได้ทาง WWW.STATMX.COM   ครับ) แล้วคนให้ผักทุกอย่างให้เข้ากัน ค่อยๆทานไปช้าๆ บางวันพอมีลิ้นจี่ก็แกะเนื้อลิ้นจี่ผสมเข้าไปด้วย มีมะม่วงห่ามๆก็ซอยมะม่วงห่ามผสมเข้าไปด้วย ส่วนมื้อหัวค่ำก็ทานข้าวสวยกล้อง 1 จานทานกับน้ำพริกมะเขือเทศ (ตำกระเทียมพอเล็กน้อย พอได้กลิ่นแล้วใส่มะเขือเทศซอยตำเข้าไปบีบมะนาวลงไปอีก) 1 ถ้วยทานกับผักสด 1 จาน เมนุอาหารพอทำไปซักระยะหนึ่ง เราเริ่มเบื่อแต่ให้ท่านอดทนเพื่อให้ได้เพราะการกินการอยู่ในแนวนี้จะซ้ำซาก,จำเจและเหงา (เพราะทานอยู่คนเดียว) แต่มันเป็นแนวทางที่เก็บชีวิตเราได้นะครับ
อ่านต่อในช่องความเห็นครับ....
ผมมีประสบการณ์ตรงกับอ.ใจเพชร มีผู้ป่วยมะเร็งบางรายมาขอคำแนะนำจากผมไป ผมก็ให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแนวเกอร์สันไปทั้งหมด ทั้งอาหารแบบนี้ ทั้งการสวนกาแฟ,ทั้งการดื่มน้ำคั้นผักผลไม้สด แต่พอผู้ป่วยกลับไปทำได้สักระยะหนึ่ง คนรอบๆข้างรวมถึงแพทย์เริ่มบอกว่า อาหารแบบนี้ไม่ดี เพราะผู้ป่วยได้สัดส่วนอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ต้องทานเนื้อสัตว์,ไขมันด้วย พอผู้ป่วยกลับไปทานตามคำแนะนำดังกล่าว อีกไม่กี่สัปดาห์มะเร็งกำเริบมากขึ้นมีน้ำท่วมปอด,มีท้องมานน้ำ ทรมานมาก อันที่จริงที่ต้องรู้ก่อนคือ อาหารแนวเกอร์สันเป็นอาหารสำหรับรักษามะเร็ง ดังนั้นอะไรที่ทานเข้าไปแล้วจะไปส่งเสริมให้มะเร็งเจริญเติบโตลุกลาม ต้องตัดสิ่งนั่นอออกให้หมด ทั้งผมเองกับอ.ใจเพชรเองก็มีความเห็นตรงกันว่า สำหรับผู้ป่วยมะเร็งนั้นกินมังสวิรัตอย่างเดียวดีที่สุด ผมยืนยันว่าอาหารแนวนี้มีโปรตีนจากพืชผัก,ผลไม้สดพอครับ แล้วอย่าลืมนะครับยังมีน้ำคั้นผักน้ำคั้นผลไม้สดที่เราต้องดื่มให้ได้ 10-13 แก้วต่อวัน ในน้ำคั้นนี้มีเอ็นไซม์ (ซึ่งเป็นโปรตีน) เยอะครับ เพียงพอกับร่างกาย อีกอย่างครับ ร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่ร่างกายเด็กที่ต้องการการเจริญเติบโตอีก ร่างกายผู้ใหญ่ต้องการโปรตีนไปสร้างสารโปรตีนให้เซลล์ได้ใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งปริมาณโปรตีนจากผักผลไม้พอครับ  ดั้งนั้นทานอหารแบบเกอร์สันนี่แหละดีแล้ว อย่านอกลู่นอกทางนะครับ เพราะมะเร็งมันร้ายมาก มันเป็นกับผู้ใดมันก็มุ่งหมายฆ่าผู้นั้นตลอดเวลา ฉะนั้นอย่าได้ประมาทมันนะครับ!
ข้อปฏิบัติตัวอื่นๆ
ยังมีข้อปฏิบัติตัวรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆที่ผมจะบอกอีกหน่อยครับ
น้ำที่ใช้อาบ  ควรเปิดน้ำประปาใส่ถังอาบทิ้งไว้สัก 1-2 วันเพื่อให้คลอรีนระเหยให้หมด เพราะคลอรีนเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยมะเร็ง คลอรีนถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้
น้ำบ้วนปากเวลาแปรงฟัน  ให้ใช้น้ำกรองสำหรับดื่มมาบ้วนปากนะครับ ห้ามใช้น้ำประปาบ้วน เพราะคลอรีนดูดซึมผ่านกระพุ้งปากได้ง่ายครับ
ยาสีฟัน  ใช้ยาสีฟันเจ้าพระยาอภัยภูเบศรธรรมชาติที่สุด ใช้ขนาด 1 เมล็ดข้าวโพดพอ แปรงเช้า-ก่อนนอน
สบู่ยาสระผม ใช้ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรดีสุด
เสื้อผ้า อย่าซักเอง ควรมีคนซักหรือซักเครื่อง เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องหลีกเลี่ยงสารเคมีทุกรูปแบบ
ห้ามลงเล่นน้ำทะเล เพราะเกลือในน้ำทะเลถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้
ห้ามลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ เพราะสระว่ายน้ำเขาใส่คลอรีนเยอะมาก คลอรีนเป็นอันตราบต่อผู้ป่วยมะเร็ง
ห้ามเข้าไปใกล้บริเวณที่มีการฉีดพ่นสารเคมีทางเกษตรกรรม เช่น บริเวณสวนไร่นาที่พ่นยาฆ่าแมลง สนามกอล์ฟ
หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตอนช่วงปีแรกผมอยู่ในแนวทางเกอร์สัน ผมปิดโทรศัพท์มือถือตลอด เตาไมโครเวฟก็ห้ามใช้ ทีวีผมจะดูให้น้อยที่สุด
เรื่องการออกกำลังกาย  น.พ.เกอร์สันจะเน้นให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มาเข้าแนวทางเกอร์สันพักให้มากๆแม้ช่วงแรกๆที่มาเข้าแนวทางนี้จะรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวสดชื่น แต่ท่านก็ให้พักอย่าเพิ่งออดกำลังกาย ท่านเองให้เก็บแรงไว้สู้กับมะเร็ง และถ้าอยู่ในแนวเกอร์สันไปได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเจออาการถอนพิษ (ซึ่งถ้าผู้ป่วยที่มาเข้าแนวทางเกอร์สันตั้งแต่แรกเลย ยังไม่ได้ผ่าตัด,ฉายแสงและ/หรือใช้เคมีบำบัด จะมีอาการถอนพิษเด่นชัดมาก แสดงว่าร่างกายกำลังตอบสนองไปในทางที่ดี) อาการถอนพิษบางทีทำให้เพลียได้ ทางสถาบันเกอร์สันแนะนำว่า ถ้าจะออกกำลังกายก็ทำได้หลังเข้าคอร์สไปแล้ว 3 เดือนขึ้นไป โดยเริ่มออกกำลังกายเบาๆจนไปถึงเดินเร็วได้ พอเริ่มรู้สึกเหนื่อยก็พัก
งดใช้เครื่องสำอาง ,สเปรย์หรือลูกกลิ้งดับกลิ่นกาย,ห้ามย้อมสีผม,ห้ามใช้น้ำหอม,ห้ามใส่เจลแต่งทรงผม,ห้ามใช้สเปรย์เซ็ททรงผม,ห้ามทุกอย่างที่เกี่ยวกับเคมีเสริมสวย,เสริมหล่อ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องห้ามรับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายทุกรูปแบบ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กินบร็อคโคลี่ 3 วันเราก็ชนะภูมิแพ้

กินบร็อคโคลี่ 3 วันเราก็ชนะภูมิแพ้


 











สาวๆ ที่ชนะมาทุกอย่างแต่กลับต้องมาตกม้าตายเพราะโรคภูมิแพ้โปรดทราบ ความพ่ายแพ้ของคุณจะเป็นอดีตในไม่ช้านี้แล้ว เพียงแค่คุณเดินไปตลาดซื้อบร็อคโคลี่มาผัดๆ ต้มๆ เป็นกับข้าวบ่อยๆ แค่นี้อาการแพ้ฝุ่นและเกสรดอกไม้ต้องขอลา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอเขาทดสอบกันมาว่า ถ้าคนที่เป็นภูมิแพ้ได้กินหน่ออ่อนของบร็อคโคลี่ติดต่อกัน 3 วัน ร่างกายจะผลิตโปรตีนที่ต่อต้านอนุมูลอิสระบริเวณเซลล์จมูกเพิ่มขึ้นได้ถึง 200 เปอร์เซ็นต์ จนฝุ่น ควัน มลพิษเข้าสู่ร่างกายไม่ได้ ฮีโร่สุดเก่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ก็คือซัลโฟราเฟนที่มีเพียบในหน่ออ่อนบร็อคโคลี่นั่นเอง ถ้าอยากให้ชีวิตง่ายขึ้นอย่าลืมหาบร็อคโคลี่มาเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ครัวนะจ๊ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Spicy


วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรคหายด้วยมือคุณ (ตีลัญจกร โดย อ.ศุภชัย จารุสมบูรณ์)

ตีลัญจกร ตอนที่ 1



ตีลัญจกร ตอนที่ 2



ตีลัญจกร ตอนที่ 3



ตีลัญจกร ตอนที่ 4



ตีลัญจกร ตอนที่ 5



ตีลัญจกร ตอนที่ 6



ตีลัญจกร ตอนที่ 7



ตีลัญจกร ตอนที่ 8



 ตีลัญจกรเต็มรูปแบบ



วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การแพทย์พื้นบ้านกับการรักษาโรคภูมิแพ้ PDF พิมพ์ อีเมล
โดย : นายแพทย์เอกชัย ปัญญาวัฒนานุกูล
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=252:2009-10-01-07-39-49&catid=62:2009-09-09-09-49-43&Itemid=90

ผู้เรียบเรียงไม่แน่ใจว่าในอดีตจะเรียกกลุ่มอาการเหล่านี้ว่าโรคภูมิแพ้หรือ ไม่ เพราะว่าในคำรายาพื้นบ้านไม่ค่อยมีโรคภูมิแพ้ให้เห็น แต่จะมียารักษาโรคหืด ลมพิษ ไอเรื้อรัง โรคหวัด ที่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มโรคภูมิแพ้ได้ สาเหตุที่ตำรายาโบราณ หรือหมอพื้นบ้านไม่ค่อยเขียนถึง อาจเป็นเพราะในอดีตไม่ค่อยจะมีผู้

ป่วยโรคภูมิแพ้ หลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้ คือ อัตราป่วยโรคภูมิแพ้ของประเทศกำลังพัฒนา พบน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างน้อย ๒-๓ เท่า เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีลูกหลายคนและเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกคนท้ายๆ มักจะไม่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ทฤษฏีหนึ่งที่น่าเชื่อถือ คือ เอ็นโดท๊อกซิน Endotoxin ในฝุ่นจะกระตุ้นการทำงานของ T-helper 1cell ซึ่งช่วยลดการแพ้สารกระตุ้นต่างๆ ได้ ข้อสังเกตของผู้เขียนเองก็พบว่า เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะทั้งการศึกษาหรือการเงินดีมักจะเป็นโรคภูมิ แพ้ หรือหอบหืดได้บ่อย ข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการเลี้ยงดูบุตร เพื่อป้องกัน หรือลดการป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ได้บ้าง




ประสบการณ์ ส่วนตัวของผู้เขียนในการใช้สมุนไพรพื้นบ้าน มีไม่มากนัก โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือ หอบหืดจะดีขึ้น หรือหายได้ คงไม่ใช่จากยาสมุนไพรอย่างเดียว แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคทำงานด้อย ประสิทธิภาพลงด้วย ได้แก่ การควบคุมอารมณ์ที่ดีขึ้น การกินอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย การออกกำลัง การลดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สุรา บุหรี่ สารเคมี เป็นต้น
ตำรับยาที่ใช้รักษาโรคภูม แพ้บ่อยๆ คือ ยาปราบชมพูทวีป ซึ่งมีใช้ในโรงพยาบาลชุมชนหลายแห่ง สามารถลดอาการกำเริบของโรคภูมิแพ้ได้ดีพอสมควร ถ้ามีอาการกำเริบ ก็จะทำให้การหายเร็วขึ้น ยานี้มีประสบการทั้งที่ใช้ในครอบครัว และคนไข้ของผู้เขียน ข้อเสียของยาตำรับนี้คือ ใช้ตัวยาประกอบจำนวนมาก ประมาณ ๕๐ รายการ ซึ่งเตรียมยาก และสิ้นเปลืองพอควร

ประสบการณ์ที่ได้จากคนไข้ ของผู้เขียนบางคนที่ใช้วิธีอื่นแล้วได้ผลดี เช่น เด็กที่เป็นโรคหอบหืด ไม่นาน ผู้ปกครองจะย่างเนื้อตุ๊กแก ให้สุก แล้วป้อนให้เด็กกิน พบว่าเด็กจำนวนหนึ่งหายป่วยได้ ผู้ป่วยรายหนึ่งอายุ ๗๐ ปีที่เป็นโรคหอบหืด และถุงลมโป่งพอง กินยาขยายหลอดลมเป็นประจำ และมักมีอาการข้างเคียงจากยาด้วย เมื่อมีโอกาสทดลองกินเนื้อจระเข้ที่ปรุงสุก ระยะหนึ่ง สามารถหยุดยาได้ระยะหนึ่งเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่มีอาการ เมื่อมีอาการก็ใช้ยาในขนาดที่น้อยลงมาก อีกตัวอย่างในคนไข้หอบหืดเป็นมาหลายปี ใช้ยาอยู่หลายชนิดทั้งกิน พ่นยา และฉีดยาขยายหลอดลมเป็นประจำ หลังจากกิน เหง้าของเอื้องหมายนา ประมาณ ๑ สัปดาห์ ก็สามารถลดยาขยายหลอดลมได้หลายชนิด จนหยุดยาได้

ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นลม พิษเรื้อรัง จากการแพ้เหงื่อ หลังเล่นกีฬาจะมีผื่นลมพิษขึ้นเป็นประจำตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ ได้ทดลองกินยาตำรับหนึ่งของหลวงพ่อเมียก แห่งวัดโคกกะเพอ จ.สุรินทร์ กินอยู่ประมาณ ๓ สัปดาห์ ผื่นลมพิษหายไปประมาณ ๒ ปี โดยไม่กำเริบ นานๆ ครั้งจะมีผื่นขึ้นบ้างแต่เป็นปริมาณน้อย และหายเองโดยไม่ต้องใช้ยา ตำรับที่ใช้มีแก่นฝางเสน เป็นยาหลัก หลวงพ่ออธิบายว่า สาเหตุของโรคเกิดจากเลือดเสีย หรือเลือดเป็นพิษ ดังนั้นจึงต้องฟอกเลือดเสีย และขับออก ต่อมาจึงบำรุงโลหิตตาม ปัจจัยอื่นๆที่ผู้เขียนเปลี่ยนแปลงด้วย คือ ลดอาหารที่เป็นของทอดและมันลง รวมทั้งการขับถ่ายที่ดีขึ้น

โดยสรุปแล้วผู้เขียนเชื่อ ว่าสามารถนำมาใช้รักษา หรือบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้ามีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจในคำอธิบายการเกิดโรคหรืออาการภูมิ แพ้ของการแพทย์พื้นบ้าน และวิธีคิดในการใช้ยาแต่ละประเภท แล้วนำมาศึกษาวิจัยทางคลินิกต่อไป มีตัวอย่างที่น่ายินดีคือ นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า สามารถนำ กานพลู และอบเชย มาใช้ในการกำจัด ไรฝุ่น ที่เป็นสาเหตุ การแพ้ส่วนใหญ่ได้สำเร็จ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ดังนั้นผู้เขียนจึงรวบรวมตัวอย่างตำรับยาที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้มาจำนวน หนึ่ง เพื่อเป็นตัวอย่างในการใช้ประโยชน์ในอนาคต
ตำรับยารักษาโรคหอบหืด
ยาฝนแก้อาการ ไอ หืด เสลดติดคอ (หมอประภาส มาศขาว อ.กุดชุม จ.ยโสธร)
๑. รากพริกป่า (ครุฑน้อย , พุดน้อย , พุดป่า, เขาควาย, พริกผี ) ๑ คืบ
๒. น้ำมะนาว เป็นน้ำกระสายยา
วิธีใช้ ใช้รากพริกป่า ฝนกับหินให้เห็นเป็นสียาผสมกับน้ำมะนาว จิบบ่อยๆขณะมีอาการ ข้อมูลจาก หลวงพ่อเมียก วัดโคกกะเพอ จ. สุรินทร์
เหง้า ของต้น เอื้องหมายนา แช่ในน้ำตาลโตนด ๗ วัน กินวันละครึ่งแก้ว ก่อนนอน
ตำรับกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
ขนานที่ ๑
เอาผมคน จำนวนมากพอสมควร นำมาล้างให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงผสมสุราพอประมาณ ดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน วันละครั้ง ( ไม่ควรกินขณะโรคหืดกำเริบ) ประมาณ ๗ วัน ( ใช้ได้ผลดีในกรณีที่เป็นไม่เกิน ๕ ปี)
ขนานที่ ๒
ใช้แก่นลั่นทมจำนวนมากพอสมควร สับให้ละเอียดนำมาต้มใส่น้ำพอสมควร กรองเอาน้ำออกแล้วเคี่ยวให้เป็นยางเหนียว (พอปั้นเป็นลูกกลอนได้) ผสมกับสุรา ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุดซา
ขนานที่ ๓
แมงป่องช้าง ๘ ตัว นำมาคั่วไฟให้กรอบ บดให้ละเอียด ผสมกับสุรา ดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน วันละ ๒-๓ ครั้ง
ขนานที่ ๔
นำเนื้อหมู ๓ ชั้น ใส่ไว้ในรังมดแดง ๒๐ ชั่วโมง นำเอาเนื้อหมูมาสับให้ละเอียดแกงกับยอดตำลึง กินทั้งเนื้อและน้ำยา ๒-๓ ครั้ง
ขนานที่ ๕
๑. ใบหนาด ๔ ใบ
๒. รากมะดัน หนัก ๑๐ บาท
๓. สารส้ม หนัก ๑ บาท
นำมาตำให้เป็นผง ชงน้ำร้อนดื่มต่างน้ำชา
ขนานที่ ๖
ใช้ต้นตำแย ทั้ง ๕ จำนวนมากพอสมควร ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ นำมาผสมกับน้ำผึ้ง อย่างละเท่ากัน ดื่มครั้งละ ๑ แก้ว
ขนานที่ ๗
ใช้ลูกใต้ใบ ทั้ง ๕ จำนวนมากพอสมควร ตำให้ละเอียด ผสมน้ำต้มสุก คั้นเอาน้ำ ดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน วันละ ๑ ครั้ง เป็น เวลา ๓ วัน
ขนานที่ ๘
๑. ข้าวหมาก ๑ ถ้วยชาจีน
๒. หนังปลากระเบน ( เผาจนกรอบแล้วนำมาบดละเอียด) หนัก ๑ บาท
นำมาผสมกัน ใช้กินให้หมดทั้งถ้วยเพียงครั้งเดียว
ขนานที่ ๙
เนื้อจระเข้สด จำนวนมากพอสมควร นำมาผัดกับพริกเครื่องแกง ผสมกับสุราพอสมควร กินพร้อมกับข้าวสุก เพียง ๓-๔ ครั้ง
ขนานที่ ๑๐
เมล็ดบวบที่ตากแดดให้แห้ง แกะเอาเฉพาะเนื้อข้างใน ตำให้ละเอียดผสมกับสุรา ใช้ดื่ม ๓ ครั้ง
- ครั้งที่๑ เนื้อในเมล็ดบวบ หนัก ๑ สลึง ผสมกับสุรา ๑ ก๊ง ดื่มให้หมด
- ครั้งที่ ๒ เอาเนื้อในเมล็ดบวบ หนัก ๒ สลึง ผสมกับสุรา ๑ ก๊ง ดื่มให้หมด ห่างจากครั้งแรก เว้น ๑ วัน
- ครั้งที่ ๓ เนื้อในเมล็ดบวบ หนัก ๓ สลึง ผสมกับสุรา ๑ ก๊ง ดื่มให้หมด ห่างจากครั้งที่ ๒ เว้น ๑ วัน
หมายเหตุ กินยาขนานนี้แล้วจะทำให้เกิดการอาเจียน จนรังหืดออกมา
ขนานที่ ๑๑
ยาสูบ และ ปูนขาว อย่างละเท่ากัน ไข่ไก่ ๒-๓ ฟอง ( ใช้เฉพาะไข่ขาว) นำมาคลุกเคล้ากันให้ดี พอกกลางหลังบริเวณ กระเบนเหน็บ หลังพอกยา จะเกิดอาการอาเจียนออกมาเป็นสีขาว เหลือง และเขียวอ่อน รังหืดจะออกมาพร้อมกับอาเจียนสีเขียวอ่อน เมื่อรังหืดออกมาแล้วให้แกะยาที่พอกออกทันที
หมายเหตุ ในระหว่างอาเจียนให้ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน
ขนานที่ ๑๒
ไข่ไก่สด (ชนิดที่มีเชื้อตัวผู้ ฟักเป็นตัวได้) ๑ ฟอง ผสมน้ำส้มสายชู ๒ ช้อนโต๊ะ กวนให้เข้ากัน กินก่อนอาหารเช้าทุกวัน เป็นเวลา ๑๕ วัน (ถ้าเป็นมากให้กิน เช้า – เย็น)อาการจะดีขึ้น และให้กินต่อขนครบ ๙๐ วัน
ขนานที่ ๑๓
๑. เถาวัลย์เปรียง ๒ สลึง ( ๑ บาท ๑ สลึง)
๒. ใบมะคำไก่ ๒ สลึง ( ๒ บาท ๒ สลึง)
๓. ฝาง ๒ สลึง ( ๒ บาท ๒ สลึง)
๔. หัวแห้วหมู ๒ สลึง ( ๒ บาท ๒ สลึง)
๕. แก่นแสมสาร ๖ สลึง ( ๖ บาท ๒ สลึง)
นำมาต้ม ดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน ประมาณ ๔-๕ ครั้ง
ขนานที่ ๑๔
๑. ขมิ้นอ้อย
๒. ยาสูบ
๓. ปูนขาว
นำมาอย่างละหนัก ๘ บาท ตำให้ละเอียด พอกที่หน้าแข้ง ประมาณ ๓๐ นาที จะทำให้อาเจียนเอาเชื้อหืดออกหมด
ขนานที่ ๑๕
ใบต้นตองแตก ๕ ใบ ลงอักขระพระเจ้า ๕พระองค์ ( นะ โม พุท ธา ยะ ) ทุกใบ ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำยามาผสมกับน้ำปูนขาว ปั้นเป็นเม็ดขนาดเท่าไข่จิ้งจก กินกับน้ำผึ้งวันละครั้งเพียง ๓ วัน
ขนานที่ ๑๖
๑. หัวกระชาย
๒. ผิวมะกรูด
๓. ต้นการบูร ทั้ง๕
๔. กระเพราแดง
๕. ขิง
นำ มาอย่างละเท่ากัน ตากแดดให้แห้ง บดให้เป็นผง ผสมกับน้ำผึ้ง และปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าเม็ดพุดซา กินครั้งละ ๒ เม็ด ก่อนอาหาร เช้า – เย็น
ขนานที่ ๑๗
ปูแสมดองเค็ม ๕ ตัวนำมาคั่วให้เกรียม บดให้ละเอียดผสมน้ำข้าวต้ม ๓ ช้อนโต๊ะ กินวันละ ๓ เวลา
ขนานที่ ๑๘
๑. เถาวัลย์เปรียง หนัก ๓ บาท
๒. ผักเป็ดแดง หนัก ๓ บาท
๓. ต้นสำมะงา หนัก ๓ บาท
๔. การบูร หนัก ๑ บาท
นำมาต้มใส่น้ำ ๑ส่วน สุรา ๑ ส่วน ดื่มก่อนอาหาร เช้า-เย็น
ขนานที่ ๑๙
๑. หัวข่า ๑ กำมือ
๒. ใบมะกา ๑ กำมือ
๓. ข้าวเปลือกข้าวเจ้า ๓ หยิบมือ
นำมาต้มดื่ม วันละ ๒ เวลา เช้า-เย็น เป็นเวลา ๓๐ วัน
ขนานที่ ๒๐
๑. หัวกระเทียม ๑๐๘ กลีบ
๒. พริกไทยล่อน ๑๐๘ เม็ด
๓. หัวแห้วหมู ๑๐๘ หัว
นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด กินครั้งละ ๒-๓ เม็ด วันละ ๓ เวลา เช้า เย็น ก่อนนอน
ตำรับยาขนานอื่นๆ
ขนานที่ ๑
๑. ดอกลำโพง ๑ ส่วน
๒. ใบมะฝ่อ ๑ ส่วน
นำ มาหั่นรวมกัน เอาเลือดแรด ละลายกับน้ำตาลโตนด เคล้ายาให้ทั่ว แล้วตากแดดให้แห้ง เมื่อจะสูบ ผสมการบูรพอควร ใช้ใบตองแห้งมวนสูบทุกวัน
ขนานที่ ๒
๑. ใบตำลึง ๑ กำมือ ตำคั้นเอาน้ำ
๒. จุนสี สะตุ ๑ สลึง
บดเป็นผงผสมในน้ำตำลึงกินแก้หืด
ขนานที่ ๓
๑. ยาดำ ๑ บาท
๒. มะเขือขื่น ตำคั้นให้ได้น้ำ ๑ ถ้วยชาจีน
๓. ไพล ตำคั้นให้ได้น้ำ ๑ ถ้วยชาจีน
๔. มะพร้าว ๑ ซีก ขูด คั้นเอาแต่น้ำ
นำยาทั้ง๔ มากวนแล้วปั้นเป็นลูกกลอน
ขนานที่ ๔
จันทน์แดง ผสมกับจุนสีสะตุ ๑ สลึง
ขนานที่ ๕
เปลือกหอยอีรุม ฝนกับน้ำปูนใส
ขนานที่ ๖
รกคน นำมาทาเกลือแล้วย่างไฟ บดให้เป็นผงโรยบนข้าวให้กิน
ขนานที่ ๗
กระเทียม หัวหญ้าแห้วหมู พริกไทย อย่างละเท่ากัน บดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าเม็ดมะเขือพวง กินครั้งละ ๒-๓ เม็ด เช้า-เย็น
ขนานที่ ๘
๑. ฝาหอยแครง หรือ หอยแลงภู่ หรือหอยกาบ หรือหอยโข่ง หรือหอยขม หนัก ๓๐ บาท บดเป็นผง
๒. ยาสูบหนัก ๓๐ บาท บดให้ละเอียด
นำ ยาทั้ง ๒ มาผสมน้ำ แล้วพอก บริเวณ สะบักลงมาถึงเอวทั้ง ๒ ข้าง ห้ามพอกบนกระดูกสันหลังในขณะที่หอบ เมื่ออาเจียนออกให้ลอกออก แล้วเอาสัปปะรด มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมเกลือ เอาผ้าขาวบางห่อ ให้น้ำหยดลงใส่ภาชนะ รองน้ำดื่ม
หวัดเรื้อรัง , ไอเรื้อรัง
ขนานที่ ๑
ต้นโทงเทงแห้ง หนัก ๓๓ บาท บดเป็นผง ผสมกับน้ำตาลกรวดทำให้เป็นน้ำเชื่อมประมาณครึ่งขวดน้ำปลา กินครั้งละ ๓ ช้อนโต๊ะ วันละ ๓ เวลา หลังอาหาร
ขนานที่ ๒
๑. เทียน ทั้ง ๕ หนักอย่างละ ๑ บาท
๒. สมอทั้ง ๓ หนัก อย่างละ ๑ บาท
๓. มะขามป้อม ๑ บาท
๔. รากช้าพลู ๑ บาท
๕. แก่นสน ๑ บาท
๖. แก่นขี้เหล็ก ๑ บาท
๗. ยาดำ ๑ บาท
๘. ใบมะขาม ๑ บาท
นำมาต้มให้น้ำพอเดือด กินครั้งละ ค่อนแก้ว ก่อนอาหาร เช้า – เย็น
ขนานที่ ๓
ใบชุมเห็ดเทศ นำมาย่างจนเกรียมด้วยไฟอ่อนๆ ใช้ชงเป็นน้ำชา กินวันละ ๒ แก้ว
ขนานที่ ๔
๑. หัวอุตพิดสด พอสมควร
๒. กระเทียม ๗ กลีบ
๓. พริกไทยร่อน ๗ เม็ด
๔. ดีปลี ๗ ดอก
นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นให้เป็นลูกกลอน ขนาด เท่าเมล็ดข้าวโพด กินวันละ ๑ เม็ด
ขนานที่ ๕
ใบหนุมานประสานกาย ประมาณ ๑๐ ใบ ต้มกับน้ำจนเดือด กินแทนน้ำ
ขนานที่ ๖ ตำรับของ หมอ ชอย สุขพินิจ อ. กาบเชิง จ. สุรินทร์
๑. แก่นสน ๓ ชิ้น (๑ ชิ้น ขนาดเท่า ๑ นิ้วชี้มือ)
๒. ต้น ปีบ ๓ ชิ้น
๓. รากและหัวต้นเลา (ลาว ต้นอ้อ, เขมร ต้นแตรง) ๓ หัว
๔. ย่านาง ทั้ง ๕ ๓ เครือ
นำมาต้มพอเดือด กินครังละ ๑ แก้ว วันละ ๓ เวลา


ที่มา : เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการการแพทย์ทางเลือก
เรื่อง "การแพทย์ผสมผสานในการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้"
วันที่ 2-4 พฤษภาคม 2550 ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต ปทุมธานี

 
 

















วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ซอฟต์แวร์ 62 ประเภท และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่เป็นทางเลือก




Software Categories Open-Source Equivalent
1. File Compression (like PKzip, WinZip) 7-zip
bzip2
gzip
2. Word Processors (like Microsoft Word) AbiWord
LibreOffice Writer
OpenOffice Writer
3. Project Management and Collaboration (like Microsoft Project) Achievo
GanttProject
GanttPV
NetOffice
OpenProj
Outreach Project Tool
ProjectLibre
Planner
TUTOS
4. Content Management Systems (like Documentum, Interwoven, Vignette) Alfresco
Bricolage
CPS
eZ publish CMS
KnowledgebasePublisher
Lenya
Magnolia
Phraseanet
TYPO3
Xaraya
5. Backup Utilities (like CA ARCserve, Legato, Veritas) Amanda
BackupPC
Bacula
Rsync
6. Music Playing / Editing (like iTunes, Sound Forge, Cool Edit) Amarok
Audacious
Audacity
Banshee
GLAME
Helix
7. Integrated Dev Environments (like Microsoft Visual Basic, Visual Studio) Anjuta
Eclipse
GLADE
GNU Compiler Collection
GNU Project Debugger
KDevelop
NetBeans
XEmacs
8. Test Tools (like IBM Rational, Mercury Interactive, Segue) Ant
Apache JMeter Load Tester
JUnit Testing Framework
Open-Source Test Tools List
9. CRM Applications (like Microsoft CRM, Siebel) Anteil
Compiere
ConcourseSuite
openCRX
SugarCRM
vtiger CRM
10. Spam Filters (like MailWasher, SpamEater) Anti-Spam SMTP Proxy
MailScanner
POPFile
SpamAssassin
SpamBayes
11. Web and FTP Servers (like Microsoft IIS) Apache HTTP Server
FileZilla
ProFTPD
Squid Proxy and Cache
squidGuard Access Controller
12. Configuration Management (like Rational ClearCase, Visual SourceSafe) Arch
CVS
OpenCM
PRCS
RCS
Subversion
13. Modeling Tools (like IBM Rational Rose, CA AllFusion) ArgoUML
StarUML
14. Telephone Systems - VOIP / PBX / FAX Servers Asterisk PBX
HylaFAX (fax server)
OpenPBX
SER PBX
SIPfoundry PBX
Yate
15. Video Editing Avidemux
Blender
Jahshaka
Kaltura
Kino
LiVES
VirtualDub
16. Privacy (like Pretty Good Privacy) AxCrypt
GnuPP
GPG
TrueCrypt
17. Instant Messaging (like AIM, MSN, Yahoo!) Ayttm
GnomeICU
Kopete
Licq
Pidgin
18. Content Management Systems - Web Bika LIMS
DotNetNuke
Drupal
Joomla!
Mambo
Midgard
OpenCMS
opensourceCMS
PHP-Nuke
phpWebSite
Plone
PostNuke
19. Database (BI) Tools (like Crystal Reports, ERWin, Microsoft Access) BIRT
DBDesigner 4
JasperReports
OpenI
OpenRPT
Pentaho
SpagoBI
Total Rekall
YALE
20. HTML Editors (like DreamWeaver, FrontPage, HomeSite) Bluefish
KompoZer
21. Network Management Tools (like HP OpenView, Microsoft SMS) BO2K
Hyperic HQ
Nagios
OpenNMS
OpenQRM
Webmin
22. Help Desk (like BMC Remedy, FrontPage Heat, Intuit Track-It) Bugzilla
Information Resource Manager
OneOrZero
phpSupport
php Support Tickets
RT: Request Tracker
SiT! Support Incident Tracker
23. Network Diagramming and Monitoring Cacti
Etherape
JFFNMS
Kaboodle
MRTG
ntop
RRDtool
Snort (intrusion detection)
Wireshark
Zenoss
24. Graphics and Image Editors (like Adobe Illustrator, PhotoShop) CinePaint
GIMP
ImageMagick
Inkscape
K-3D
25. ERP and Financial Software (like Oracle, SAP, Intuit QuickBooks) Compiere
GNUCash
NOLA
Open for Business
Openbravo
SQL Ledger
webERP
xTuple
26. Document Management (like Open Text) Contineo
OpenKM
Owl
27. Email Servers - IMAP Courier IMAP
Cyrus IMAP
Scalix
UW IMAP
28. Business Graphics (like Microsoft Visio) Dia
LibreOffice Draw
OpenOffice Draw
Xfig
29. Photo Album Manager (or Photo Organizer) digiKam
30. Forums, Blogs (Weblogs), Bulletin Boards and Wikis DokuWiki
phpBB
Pivot
Roller
Thingamablog
WordPress
YaBB
Yet Another Forum.net
31. Groupware (like Microsoft Exchange, Lotus Notes) dotProject
Horde
Kolab
Lucane
Mimerdesk
OpenGroupware
Open-Xchange
phpCollab
phpGroupWare
PHProjeckt
TUTOS
32. CD / DVD Burning (like Adaptec RecordNow, Roxio CD Creator) ECLiPt Roaster
X-CD-Roast
33. Text Editors & File Merging (like Microsoft Notepad) Emacs
gedit
gnotepad+
JEdit
Vim
WinMerge
34. Application Servers (like IBM WebSphere, BEA WebLogic) Enhydra
Geronimo
JBoss
JOnAS
Tomcat (servlet container)
Zope
35. PDF File Viewer and Creator (like Adobe Acrobat) Evince
okular
GhostScript
PDFCreator
36. Email Servers - POP and SMTP (like Microsoft Exchange) Exim
qmail
James
Postfix
SendMail
SquirrelMail
Zimbra
37. Database Software (like Microsoft Access, SQL Server) Firebird
Gaby
Kexi
Knoda
MySql
Novinyl
PostgreSQL
Qddb
38. Security (like firewalls, scanners) Firestarter (firewall)
IPCop (firewall)
Nessus (scanner)
Nikto (scanner)
Nmap (scanner)
OpenSSH (secure communications)
Paros (proxy)
SmoothWall (firewall)
39. Flash Viewers (like Macromedia Flash) Flash for other OS's
40. Operating Environments (like Microsoft Windows, Linux, VMWare) freeBSD
freeDOS
Linux
NetBSD
OpenBSD
OpenSolaris (Sun)
Samba (file/print services)
VirtualBox (virtual machine)
Wine (Windows emulator)
Xen (virtual machine)
41. Web Browsers (like Microsoft Internet Explorer) Galeon
Konqueror
Mozilla Firefox
Opera
42. Portal Servers (like Microsoft Sharepoint, Plumtree, Vignette) Gluecode
GridSphere
Liferay Portal
Metadot
43. Office Productivity Suites (like Microsoft Office) GNOME Office
KOffice
LibreOffice
OpenOffice
44. Virtual Meetings (like Microsoft NetMeeting / Messenger) GnomeMeeting
45. Personal Financial Managers (like Microsoft Money, Intuit Quicken) GNUCash
Grisbi
jGnash
KMyMoney
46. Spreadsheets (like Microsoft Excel) Gnumeric
LibreOffice Calc
OpenOffice Calc
47. AntiVirus Tools (like Norton, McAfee) Grisoft AVG
AntiVir
48. Video Players (WinDVD, PowerDVD, Windows Media Player, RealPlayer) Kaffeine
MPlayer
RealPlayer for other OS's
Totem
49. Personal Information Managers (like Microsoft Outlook) KDE-PIM
Linux Organizer
TreeLine
TuxCards
Ximian Evolution
50. Email Applications (like Microsoft Outlook Express) KMail
Mozilla and Thunderbird
Spicebird
Ximian Evolution
51. Presentation Software (like Microsoft Powerpoint) LibreOffice Impress
OpenOffice Impress
52. Terminal Server (like Microsoft Windows Terminal Server) Linux Terminal Server Project
53. Email List Manager Mailman
MajorDomo
PHPlist
54. Disk Imaging (like Norton Ghost) Mondo
Partition Image
55. Learning (or Course) Management System Moodle
Sakai
56. Asset Management (like Intuit, Peregrine, Remedy) OCS Inventory
57. BioInformatics (multiple highly specialized vendors) Open BioInformatics Foundation
OpenClinica
58. Directory Servers (like Microsoft Active Directory) OpenLDAP
59. Remote Access (like Symantec pcAnywhere or VPN appliances) OpenVPN
rdesktop
Stunnel
tinc
UltraVNC
VNC - Virtual Network Computing
60. Programming Languages Perl
PHP
Python
Ruby
61. Shopping Cart (like AShop, Interspire) PrestaShop
62. Desktop Publishing (like Microsoft Publisher, Quark Xpress) Scribus