...สวัสดีครับ หนังสือเล่มนี้ ผมเขียนขึ้นหลังจากตัวเองป่ วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายได้ 3 ปี 2เดือน ทุกวันนี้ผมยังคงอยู่ได้ สบายๆและไม่ได้ไปติดตามการรั กษากับแพทย์แผนปัจจุบันแต่อย่ างใด แต่ที่ผมได้ทำอยู่ทุกวันตั้งแต่ ป่วยมาก็คือ การมาอยู่ในระเบียบวินัยวิถีชี วิตของเกอร์สันเป็นวิถีชีวิ ตใหม่ทั้งหมด (ซึ่งวิถีชีวิตเกอร์สันท่านอ่ านดูได้จากหนังสือเล่มนี้ครับ)
เช่นเดียวกันกับการปฏิบัติตั วในแนวเกอร์สัน ผมผ่านประสบการณ์มากขึ้นกลั่ นกรองเนื้อหาได้มากขึ้น ผมพยายามหาแนวเกอร์สั นแบบไทยๆมากขึ้น แล้วตอนนี้กำลังรวบรวมอยู่ให้ มากเข้าไว้เพื่อจะได้เขียนในครั ้งต่อๆไป
เช่นเดียวกันกับการปฏิบัติตั
หนังสือเล่มนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ หากสำนักพิมพ์จะเอาไปพิมพ์ก็เชิ ญตามสบาย หากใครจะคัดลอก,ทำซ้ำ,ทำเผยแพร่ ต่อๆไป เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับรู้ ข้อมูลด้านนี้ก็จะเป็นที่น่ ายกย่องยินดี เพราะท่านกำลังทำความดีครั้งยิ่ งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ขอให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกท่านสู้ต่ อไป มะเร็งหายได้ครับ
และท่านจะรู้ว่าโลกหลังมะเร็งสุ ขเพียงใด
น.พ. คทารัตน์ บุญนิธิพันธุ์
ขอให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกท่านสู้ต่
และท่านจะรู้ว่าโลกหลังมะเร็งสุ
น.พ. คทารัตน์ บุญนิธิพันธุ์
20 มิถุนายน 2557หลังเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ ายได้
3 ปี 2 เดือน กับอีก 8 วันแล้ว
3 ปี 2 เดือน กับอีก 8 วันแล้ว
7 เรื่องที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องรู้
... เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่ วยมะเร็งอยู่รอดได้ และถ้าทำได้ใน 7 เรื่องนี้ไปตลอดช่วงชีวิตที่ เหลือก็จะหายขาดจากมะเร็ง (ใช่ครับ!! หายขาดจากมะเร็งได้ครับ)
... เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่
เรื่องที่ 1 ต้องรู้ว่า มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อม คือ ร่างกายเสื่อมลงทุกระบบ มะเร็งมีสาเหตุมากกว่าที่เราเห็ นและซับซ้อนกว่าที่เป็น
เรื่องที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งต้องปรับเปลี่ยนวิ ถีชีวิตใหม่ทั้งหมด อย่าอยู่กับแนวชีวิตเดิมๆที่ผ่ านมา เพราะการเป็นอยู่แบบเดิมๆนั่ นแหละที่นำตัวท่านไปสู่โรคมะเร็ ง
เรื่องที่ 3 อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง มีอาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องรู้ ว่า “ ห้ามทาน “ และมีอะไรบ้างที่ผู้ป่วยมะเร็ งทานได้
เรื่องที่ 4 น้ำคั้นผักสด,น้ำคั้นผลไม้สด ที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องดื่มกันวั นละ 10-13 แก้ว
เรื่องที่ 5 การสวนกาแฟ เพื่อขับพิษออกจากร่างกาย
เรื่องที่ 6 อาการถอนพิษ
เรื่องที่ 7 ยาเสริมให้ร่างกายแข็งแรง
เรื่องที่ 1 มะเร็งเป็นโรคของความเสื่อม
ตั้งใจอ่านดีๆนะครับ เพราะเรื่องที่ผมจะบอกต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีแพทย์ท่ านใดบอกให้ผู้ป่วยมะเร็ งทราบมาก่อน ผมจะบอกที่มาที่ไปของโรคมะเร็ งให้ทราบครับ
ตั้งใจอ่านดีๆนะครับ เพราะเรื่องที่ผมจะบอกต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีแพทย์ท่
โรคมะเร็งมันเป็นภัยเงียบครับ ขบวนการก่อเกิดมะเร็งจะใช้ เวลาค่อยเป็นค่อยไป ขบวนการก่อเกิดโรคจะใช้ เวลาสะสมนาน 20-30 ปีครับ มันเริ่มจากชีวิตเราๆท่านๆพั ฒนาจากชีวิตชนบทมาเป็นชีวิ ตในเมือง
ชีวิตที่ห่างเห็นจากธรรมชาติ มากขึ้นๆ มะเร็งมันเริ่มก่อตัวมากับ “อาหารการกิน” ที่เราทานๆกันอยู่ทุกวัน อาหารที่ทำขายหรือวางขายทั่วๆไป อาหารที่ผ่ านขบวนการถนอมอาหารเจือปนด้วยวั ตถุกันเสีย,อาหารใส่สีสารปรุ งแต่งรสชาติ,พืชผักที่พ่ นสารเคมีฆ่าแมลง,เนื้อสัตว์ที่ เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรมมี การใช้ฮอร์โมน,สารเร่งเนื้อแดง, ยาปฏิชีวนะ มะเร็งมันมากับ “สภาพสิ่งแวดล้อมของสังคมเมื องที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากขึ้ น” และการใช้ชีวิตประจำวัน “การทำงานหนักเครียดพักผ่อนน้ อย” โหมงานหนักขาดการออกกำลังกายอย่ างสม่ำเสมอ ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมว่ามานี้ มะเร็งได้เริ่มก่อตัวอย่างเงี ยบๆ โดยสารพิษ,ความเป็นพิษทั้ งหลายที่เรารับมาแต่ละมื้ ออาหาร,รับมาแต่ละวัน
ชีวิตที่ห่างเห็นจากธรรมชาติ
ร่างกายจะนำไปทำลายที่ตับและขั บออกทางน้ำดีไหลไปสู่ลำไส้ แล้วสารพิษจะถูกขับออกไปกับอุ จจาระ ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุ ดในขบวนการทำลายพิษครับ คราวนี้พอเรารับสารพิษอยู่เรื่ อยๆทุกวัน ตับก็จะทำลายสารพิษทุกครั้งไป จนเวลาผ่านไป 20-30 ปี จนตับมันรับทำลายสารพิษให้ไม่ ไหวแล้ว จับสารพิษไม่ทัน ตับเริ่มเสื่อมมากขึ้นๆ แล้วพิษก็สะสมมากขึ้นๆ จนพิษเต็มตับเต็มทั่วร่างกาย ก็จะไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าอวั ยวะไหนอ่อนแอสุดก็เกิดมะเร็ งในอวัยวะนั้นๆครับ อาการของโรคมะเร็งมันจะค่อยเป็ นค่อยไปไม่ชัดเจน จนต่อเมื่ออาการเด่นชัดแล้วก็ เป็นเยอะแล้วครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกครั บที่เราจะเจอผู้ป่วยมะเร็ งโดยมากก็ในระยะเกือบสุดท้ายหรื อสุดท้ายแล้ว
ดังนั้นอย่างที่ผมกล่าวมาข้างต้ น มะเร็งเป็นโรคของความเสื่ อมหมายความว่า เสื่อมทุกระบบ เสื่อมทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ตับ ตับเสื่อมมากที่สุด ดังนั้นการรักษามะเร็งนั้นต้ องรีบฟื้นตับให้กลับมาดีเหมื อนเดิมหรือใกล้เคียงเดิม,ฟื้นทุ กระบบให้กลับมาทำงานได้ดีที่สุด แล้วโรคมะเร็งก็จะหายครับ (ใช่ครับ!หายครับ) ดังนั้นการักษามะเร็งจึงไม่ใช่ การผ่าตัด,ไม่ใช่ การฉายแสงและไม่ใช่การให้ยาคามี บำบัดเพราะการรักษาเหล่านี้ มะเร็งไม่หายมันจะกลับมาเป็นซ้ำ ยิ่งโหมการรักษายิ่งทำให้ผู้ป่ วยไปเร็วขึ้น ทั้งการผ่าตัดฉายแสงให้ยาเคมี บำบัดเป็นการทำให้ระบบทุกระบบที ่เสื่อมอยู่แล้ว ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม สุดท้ายผู้ป่วยเสียชีวิ ตจากการรักษา ก่อนจะเสียชีวิตจากตัวโรคมะเร็ งจริงๆด้วยซ้ำ
จำไว้นะครับ โรคมะเร็ง การรักษาต้องรีบฟื้นทุ กๆระบบของร่างกายให้กลับมาสมบู รณ์แข็งแรงเต็มที่โดยเฉพาะที่ตั บ ถ้าฟื้นทันก็ชนะ ถ้าฟื้นไม่ทันก็แพ้ครับ น่าสนนะครับ ตามผมมาเถอะครับ ทางนี้เป็นทางรอดของมะเร็ง
จำไว้นะครับ โรคมะเร็ง การรักษาต้องรีบฟื้นทุ
ระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการวินิ จฉัยจากแพทย์แล้ว ยังมีเวลาให้เรากลับตัวทัน ทั้งนี้ผมเรียกว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะถ้าเราเลี้ยวกลับแล้วไปต่ อกับการรักษาที่ถูกวิธีโรคมะเร็ งก็หายครับ ถ้าเราไม่เลี้ยวกลับยังเดินหน้ าต่อกับการรักษาที่ผิดแบบนี้ จบกันครับ ระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของแต่ ละมะเร็งมันไม่เท่ากัน ถ้าเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ,มะเร็งตับอ่อน,มะเร็ งปอดหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่,มะเร็ งกระเพาะอาหาร,มะเร็งกระเพาะปั สสาวะชนิดที่มะเร็งที่เซลล์ มะเร็งก้าวร้าว มะเร็งพวกนี้มีเวลาให้เรา 2-3 สัปดาห์ ถ้าช้ากว่านี้ไม่ทันการณ์ครับ ยิ่งถ้าแพทย์เองรู้สึกว่ าโรคมะเร็งไปเยอะแล้ว หมดหวังกับตัวโรคเองแล้ว ได้บอกทั้งเปอร์เซ็นต์การรอด, เปอร์เซ็นต์ในการเสียชีวิตให้ผู ้ป่วยและญาติทราบก็หดหู่กันทั้ งสองฝ่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขที่ แพทย์ท่านบอกมาเป็นสถิติ ทางแพทย์แผนปัจจุบันครับ ถ้าท่านยังเดินตามแผนการรั กษาตามนั้นต่อไปผลก็ออกมาไม่ แคล้วกับที่ท่านบอก
ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการวินิ
โชคดีที่ น.พ. แม็กซ์ เกอร์สัน ได้เกิดมาบนโลกใบนี้
โชคดีที่โลกใบนี้มี น.พ.แม็กซ์ เกอร์สัน เกิดมา เพราะแนวคิดที่ว่ามะเร็งเป็ นโรคของความเสื่อมก็เป็นแนวคิ ดของท่านเองครับ น.พ.เกอร์สันมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ1881-1959 ท่านเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ท่านจบแพทย์ศาสตร์ที่เยอรมัน ช่วงแรกๆของการทำงานท่ านทำงานอยู่ในเยอรมันต่อมาท่ านต้องหนี
ฮิตเลอร์ที่ไล่เข่นฆ่าชาวยิว น.พ.เกอร์สันหนี ไปหลายประเทศจนสุดท้ายก็มาลงหลั กปักฐานที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ น.พ.เกอร์สัน มักมีอาการปวดหัวไมเกรน รบกวนอยู่ประจำ ช่วงที่มีอาการไมเกรน ท่านจะต้องอยู่ในห้องมืดๆเงี ยบๆทั้งปวดหัวอาเจียน 3-4 วัน ท่านพยายามให้อาจารย์แพทย์ของท่ านรักษาให้ก็ไม่หาย อาจารย์แพทย์ได้บอกว่าให้ ทำใจอยู่กับโรคนี้ไปจนกระทั่ งอายุ 50ปีก็จะดีขึ้น ตอนนั้นน.พ.เกอร์สันพยายามหาหนั งสือ,ค้นรายงานทางการแพทย์ที่ เกี่ยวกับไมเกรนทุกเล่มทุกฉบั บมาอ่าน
โชคดีที่โลกใบนี้มี น.พ.แม็กซ์ เกอร์สัน เกิดมา เพราะแนวคิดที่ว่ามะเร็งเป็
ฮิตเลอร์ที่ไล่เข่นฆ่าชาวยิว น.พ.เกอร์สันหนี
แล้วท่านก็ต้องไปสะดุดสายตากั บรายงานฉบับหนึ่งว่า อาหารสามารถรักษาไมเกรนได้ ท่านได้ให้ความสำคัญมากท่านได้ ลองทานอาหารด้วยตนเอง บันทึกชนิดของอาหารที่ทั้งทำให้ อาการไมเกรนกำเริบกับทำให้ ไมเกรนไม่กำเริบ ท่านพบว่า ตราบใดที่ท่านทานมังสวิรัติ, งดเนื้อสัตว์,ไม่กินเกลือ,ไม่ ทานอาหารที่มีนม,เนย,ครีมไขมัน ตราบนั้น อาการไมเกรนจะไม่กำเริบแน่นอน ต่อมาท่านได้นำสู ตรอาหารไมเกรนของท่านรักษาผู้ป่ วยไมเกรน ก็พบว่าผู้ป่วยส่ วนมากหายจากปวดหัวไมเกรนจนเป็ นที่เลืองลือ ต่อมามีผู้ป่วยไมเกรนคนหนึ่ งมาบอกท่านว่า นอกจากอาการไมเกรนจะหายแล้ว แผลจากวัณโรคผิวหนังที่เขาเป็ นมานานก็หายด้วย (สมัยนั้นยังไม่มียารักษาวัณโรค ใครเป็นวัณโรคก็เตรียมตั วตายราวกับมะเร็งสมัยนี้แหละครั บ) น.พ.เกอร์สันยังแปลกใจมันหายได้ อย่างไร
ท่านก็ทดลองให้ผู้ป่วยวัณโรคผิ วหนังทานอาหารสูตรไมเกรน แทบทุกรายหายหมด ต่อมาท่านนำสูตรนี้ไปรักษาวั ณโรคปอด, วัณโรคไต, วัณโรคกระดูก ปรากฏว่าได้ผลหายเกือบหมด
แล้ววันหนึ่งน.พ.เกอร์สันได้รั บการปรึกษาทางโทรศัพท์ ท่านได้ไปบ้านผู้ป่วยหญิงรายหนึ ่ง ผู้ป่วยบอกว่า เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็ นมะเร็งท่อน้ำดี ตอนนั้นเธอมีไข้สูง,ตัวเหลือง, ตาเหลือง ที่สำคัญแพทย์ผู้ผ่าตัดได้ บอกเธอว่าไม่สามารถทำอะไรให้ได้ แล้ว เธอรู้ว่าน.พ.เกอร์สันน่าจะรั กษาเธอได้ จึงได้ปรึกษามา
น.พ.เกอร์สันได้บอกเธอตามตรงว่ าท่านไม่มีประสบการณ์ในการรั กษามะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามน.พ.เกอร์สันก็ เขียนสูตรอาหารรักษาวัณโรคให้ เธอไว้ เหตุการณ์ผ่านไป 6 เดือน วันหนึ่งขณะที่น.พ.เกอร์สั นตรวจคนไข้อยู่ ท่านก็ต้องตกใจเมื่อท่านได้ พบเจอผู้ป่วยผู้หญิงรายนี้ แต่ตอนนี้เธอสบายดีไม่มีอาการตั วเหลือง ตาเหลือง ดูเหมือนว่าทุกอย่างหาย น.พ.เกอร์สันท่านแปลกใจมาก ท่านพยายามคิดว่าไมเกรน,วั ณโรคและมะเร็ง มันสัมพันธ์กันอย่างไร
น.พ.เกอร์สันได้บอกเธอตามตรงว่
พอได้สูตรอาหารไมเกรนถึ งหายแทบทุกราย
ช่วงที่ท่านหนีฮิตเลอร์ ไปตามประเทศต่างๆท่านก็รักษาทั้ งไมเกรน,วัณโรคและมะเร็ง ท่านก็พบว่าถ้าผู้ป่วยให้ความร่ วมมือดี แผนกโภชนาการปฏิบัติ ทำอาหารตามสูตรโรคก็จะหาย แต่ถ้าแผนกโภชนาการไม่ใส่ใจกั บสูตรอย่างเคร่งครัดโรคก็จะไม่ หาย สุดท้ายเมื่อท่านลงหลักปักฐานที ่นิวยอร์ก ท่านได้สอบใบประกาศโรคศิลป์ ของรัฐนิวยอร์กผ่าน ท่านก็ได้รับผู้ป่วยของท่ านเองมารักษาที่คลินิก แรกๆก็เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง, ไมเกรน,วัณโรคแล้วก็มะเร็ง จนกระทั่งจากปากต่อปากของผู้ป่ วยมะเร็งมาจากทั่วสารทิ ศของอเมริกา และส่วนใหญ่ก็เป็นรายที่เป็ นฯมากแล้ว เป็นประเภทแพทย์ไม่เอาผู้ป่ วยแล้ว ผู้ป่วยก็ไม่เอาแพทย์แล้ว มันเหมือนกับการบังคับน.พ.เกอร์ สันต้องรักษามะเร็งอย่างเดียว
ช่วงที่ท่านหนีฮิตเลอร์
น.พ.เกอร์สันท่านเป็นนักวิ ชาการไม่ได้รักษาสุมสี่สุมห้า ท่านกลับมาอ่ านตำราและรายงานทางการแพทย์ที่ รักษามะเร็งทุกเล่มทุกฉบับ สุดท้ายท่านได้ข้อสรุปว่า แพทย์ทุกคน สถาบันการแพทย์ทุกแห่งจะมองว่า มะเร็งมีอาการเป็นก้อน มีก้อนมะเร็งแล้วก็ กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แพทย์ทุกคนจะรักษาก้อนมะเร็งด้ วยการผ่าตัดหรือไม่เช่นนั้นก็ ฉายแสง (สมัยนั้นยังไม่มีการให้ยาเคมี บำบัด ยาเคมีบำบัดเริ่มให้กันหลังน.พ. เกอร์สันเสียชีวิตแล้ว) แต่พอก้อนมะเร็งถูกตัดออกไม่ช้ าไม่นานมะเร็งก็กลับมาเป็นซ้ ำได้อีก ท่านจึงมีแนวความคิดว่า มะเร็งมันต้องมีอะไรที่ลึกซึ้ งกว่าก้อน จากนั้นท่านก็ได้ลงมือรักษา,ศึ กษามะเร็งตามแนวคิดของท่าน แล้วท่านก็พบความจริงที่ยังไม่ มีแพทย์ท่านใดรู้หรือบอกได้ (รวมถึงผม ถ้าผมไม่มาเป็นมะเร็งปอดเองก็ คงไม่สนใจรักษาตัวเองด้วยวิธีน. พ.เกอร์สันอย่างจริงจัง) มะเร็งเป็นภาวะที่ทุกระบบของร่ างกายเสื่อมลงสุดๆ จุดเสื่อมแย่สุดคือตับ ตับกำลังจะหยุดทำงาน ดังนั้นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ ผู้ป่วยมะเร็งรอด คือ ต้องรีบฟื้นฟูร่างกายทุกระบบ ฟื้นทั้งตัว โดยเฉพาะที่ตับต้องรีบช่วยก่อน ต้องรักษาระบบทุกระบบของร่ างกายโรคมะเร็งจึงจะหาย (ใช่ครับ!หาย) ค่อยๆตามผมมาครับ
เรื่องที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่ยนวิถีชี วิตใหม่ทั้งหมด
ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่ ยนการดำเนินชีวิตให้มาอยู่ ในระเบียบวินัยการกิน,การเป็ นอยู่ที่ต้องขับพิษออกอย่างสม่ ำเสมอหลีกเลี่ยงการรับสารพิษทุ กรูปแบบ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิ ตเดิมอย่างสิ้นเชิง แล้วต้องเปลี่ยนครับ ถ้าไม่เปลี่ยนยังคงดำเนินชีวิ ตแบบเดิมๆเห็นทีไม่รอดครับ เพราะการกิน,การเป็นอยู่แบบเดิ มๆนั่นแหละครับที่นำตัวเราไปสู่ มะเร็ง น่าคิดนะครับ ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่ยังติ ดตามการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบั น ยังคงได้รับคำแนะนำอย่าเครียด อย่ากังวล ให้ทำตัวตามปกติแล้วมาติ ดตามการรักษากับแพทย์ดีๆ (ซึ่งคำแนะนำนี้ ผมก็ใช้อยู่เป็นประจำตอนยังผ่ าตัดรักษาผู้ป่วยมะเร็ง และคิดว่าคำแนะนำนี้ยังคงถูกใช้ ตลอดไปในโรงพยาบาล) แต่ปรากฏว่ามะเร็งจะกลับมาเป็ นซ้ำแทบทุกราย พอตอนหลังเป็นมะเร็งปอดซะเองได้ มาศึกษาแนวทางเกอร์สันเลยรู้ว่ าวิถีการกิน,การเป็นอยู่แบบเดิ มๆถ้ายังไม่เปลี่ยนโรคมะเร็งมั นจะกลับมาได้อีก เพราสาเหตุต้นตอมันไม่ได้ถูกแก้ ไขครับ
ผู้ป่วยมะเร็งต้องเปลี่
ที่สำคัญนะครับ ผู้ป่วยต้องรู้ก่อนว่าตัวเองเป็ นมะเร็ง ซึ่งสังคมไทยญาติๆมักไม่ อยากบอกให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็ นมะเร็ง ผมว่าวิธีการนี้ยังไม่ถูกนะครับ ที่ถูต้องคือผู้ป่วยต้องรู้ว่ าตนเองเป็นมะเร็งอะไร,ระยะไหน เพราะต่อไปนี้วิถีการดำเนินชีวิ ตจะต้องเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่ ทั้งการกิน,การเป็นอยู่,การพั กผ่อนนอนหลับ แล้วถ้ามีงานให้ยุ่งให้เครียดต้ องหยุดครับ
การงานก็เป็นตัวสำคัญที่จะชี้ว่ าท่านจะรอดหรือไม่รอดจากมะเร็ง ยิ่งผู้ป่วยมะเร็งท่านใดมีหน้ าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมาก, งานมีความเครียดมาก (stress) ผมแนะนำให้ท่านหาคนมาทำแทน แล้วท่านพักยาวไม่มีกำหนด เพราะตราบใดที่ท่านมีความเครี ยดจากงานมาคอยกระตุ้นตลอดตราบนั ้นมะเร็งมันก็ยังอยู่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าท่านจะต้องมาอยู่ ในแนวทางเกอร์สันแล้ว จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 2 ปี
(ถ้าผู้ป่วยมะเร็งท่านใดรั บยาเคมีบำบัดมาด้วยจะต้องใช้ เวลามากกว่า 2 ปีครับ)
(ถ้าผู้ป่วยมะเร็งท่านใดรั
สถานที่ในบ้านก็ต้องจัดกันใหม่ ท่านต้องมีสถานที่ตั้งโต๊ะอุ ปกรณ์คั้นน้ำผักสด,ผลไม้สด
ท่านต้องมีตู้เย็นขนาดใหญ่ เอาไว้เก็บผักสด,ผลไม้สด,ท่านต้ องมีสถานที่สวนกาแฟเป็นส่วนตัว อุปกรณ์ใช้ทำอาหารให้ผู้ป่วยต้ องเปลี่ยนมาใช้แสตนเลส ถ้วยจานใส่อาหารต้องเป็นแก้วหรื อกระเบื้องเคลือบห้ามใช้ จานชามสังกะสีหรือพลาสติก
ท่านต้องมีตู้เย็นขนาดใหญ่
คนทุกคนในบ้านท่านต้องช่วยกั นในการเตรียมผักสด,เตรียมผลไม้ สด,เตรียมกาแฟสำหรั บสวนทำอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ งโดยเฉพาะ ถ้าจะให้ดีควรมีผู้มาช่ วยทำงานนี้ประจำไปเลย ควรมีซัก2 คนเพราะวันดีคืนดีผู้ช่วยไม่ สบายไปซะคนหนึ่งก็ยังมีอี กคนคอยทำได้อยู่ แล้วผมจะค่อยๆบอกในรายละเอี ยดแต่ละเรื่องต่อไปครับ
เรื่องที่ 3 เรื่องอาหารของผู้ป่วยมะเร็ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุ ดครับสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง และเป็นตัวชี้วัดได้ว่าผู้ป่ วยมะเร็งจะรอดไม่รอด,หายหรือไม่ หายก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่ผู้ป่ วยทานเข้าไป ก่อนอื่นใด ผู้ป่วยมะเร้งต้องรู้ว่า “มะเร็งมันโตขึ้นมาได้มันก็ต้ องใช้อาหารของมันเหมือนกัน” ดังนั้นหลักการเรื่องอาหารผู้ป่ วยมะเร็งก็คือ ทานอาหารเอาไปฟื้นฟูภาวะร่ างกายให้กลับมาแข็งแรง ขณะเดียวกันต้องดทานทุกสิ่งทุ กอย่างที่มะเร็งจะนำไปเป็ นอาหารของมันได้ อาหารที่มะเร็งมันชอบมากได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์,จากเห็ดทุ กชนิด,ไขมันทุกชนิด (ยกเว้น Flax Seed Oil ที่มะเร็งเอาไปใช้ไม่ได้) ,เกลือ (มะเร็งจะนำเกลือไปเป็นตัวเร่ งขบวนการให้มันอยู่รอดแล้วโตได้ ) แล้วยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ เราอาจคาดไม่ถึงว่ามันเป็ นอาหารของมะเร็งได้ซึ่งห้ ามทานครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุ
อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งห้ามทาน
- เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ต้องงดโดยเด็ดขาด
- ของมันทุกชนิด อาหารที่ใส่นม,เนย,ไข่,ครีม, ของทอดห้ามทาน
- อาหารที่ใส่เกลือ น้ำปลา ,ซีอิ้ว,ซอสปรุงรส,กะปิ,ปลาร้า, ผงชูรส,เต้าเจี้ยว
- อาหารที่หมักดองทุกอย่างห้ามทาน
- อาหารที่วางขายทั่วไป, อาหารตามสั่ง,อาหารในภัตตาคาร, ร้านอาหาร ห้ามทาน เพราะอาหารดังกล่าวจะใส่ทุกอย่ างที่ผู้ป่วยห้ามทานมาอยู่แล้ว
- อาหารที่ผ่ านขบวนการถนอมอาหารบรรจุ วางขายตามชั้นวางของ ในร้านสะดวกซื้อ ในห้างใหญ่ ซึ่งบรรจุในรูปกล่อง,กระป๋อง,ถุ ง,ขวด,ซอง ห้ามทานเพราะอาหารพวกนี้มักใส่ สารกันบูดเจือสี,ใส่สารแต่ งรสชาติ เป็นโทษกับผู้ป่วยมะเร็ง
- อาหารเสริมที่โฆษณา,อาหารเสริ มทางการแพทย์ ห้ามทาน เพราะอาหารเสริมนี้จะไปทำให้ มะเร็งโตเร็วมาก
- บุหรี่,สุรา,ชา,กาแฟ เลิกไปเลยครับตลอดชีวิต
- เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าเห็ดสด,เห็ดแห้ง ห้ามทาน
- งา,ถั่วทุกชนิด ไม่ว่าเป็นถั่วแดง,ถั่วเขียว,ถั ่วดำ,ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ จากถั่วเหลือง เช่นเต้าหู้,นมถั่วเหลือง ห้ามทาน เพราะทั้งถั่วและงามีไขมั นเยอะมากเป็นอาหารของมะเร็ง
- เนื้อมะพร้าว,จาวมะพร้าว มีไขมันสูงเช่นกันห้ามทาน
- พริกเผ็ดมากๆและเครื่องเทศที่ ทำให้เผ็ดร้อน ห้ามทานเพราะจะไปยับยั้ งขบวนการหายของร่างกาย
- แตงกวาและสับปะรด ห้ามทานเพราะแตงกวาย่อยยาก,สั บปะรดมีสาร มะเร็งสามารถดึงไปใช้ได้
- น้ำปั่นหรือผลไม้ปั่นขาย ห้ามทาน
- แป้งขาวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้ งขาว เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว,ขนมปัง,เส้ นบะหมี่ ห้ามทาน รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกยี ่ห้อ
- ขนมหวาน,ลูกอม,ช็อคโกแลต,ขนมกรุ บกรอบ ห้ามทาน
- หน่อไม้,พืชต้นข้าวอกใหม่ ห้ามทาน
- สาหร่าย ห้ามทาน
- อะโวคาโด้ ห้ามทานเพราะมีไขมันสูง
- เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ต้องงดโดยเด็ดขาด
- ของมันทุกชนิด อาหารที่ใส่นม,เนย,ไข่,ครีม,
- อาหารที่ใส่เกลือ น้ำปลา ,ซีอิ้ว,ซอสปรุงรส,กะปิ,ปลาร้า,
- อาหารที่หมักดองทุกอย่างห้ามทาน
- อาหารที่วางขายทั่วไป, อาหารตามสั่ง,อาหารในภัตตาคาร,
- อาหารที่ผ่
- อาหารเสริมที่โฆษณา,อาหารเสริ
- บุหรี่,สุรา,ชา,กาแฟ เลิกไปเลยครับตลอดชีวิต
- เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าเห็ดสด,เห็ดแห้ง ห้ามทาน
- งา,ถั่วทุกชนิด ไม่ว่าเป็นถั่วแดง,ถั่วเขียว,ถั
- เนื้อมะพร้าว,จาวมะพร้าว มีไขมันสูงเช่นกันห้ามทาน
- พริกเผ็ดมากๆและเครื่องเทศที่
- แตงกวาและสับปะรด ห้ามทานเพราะแตงกวาย่อยยาก,สั
- น้ำปั่นหรือผลไม้ปั่นขาย ห้ามทาน
- แป้งขาวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้
- ขนมหวาน,ลูกอม,ช็อคโกแลต,ขนมกรุ
- หน่อไม้,พืชต้นข้าวอกใหม่ ห้ามทาน
- สาหร่าย ห้ามทาน
- อะโวคาโด้ ห้ามทานเพราะมีไขมันสูง
(ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ ตรงของผมที่เกี่ยวกับผักผลไม้ ฤทธิ์ร้อน ซึ่งผมสังเกตตัวเองว่าถ้ากินผั กหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนแล้วมั กมีอาการไม่สบายเนื้อตัว หรือมีแผลร้อนในเยอะมาก,มี อาการไอหอบหืด,จามเยอะมาก จึงเขียนลงเอาไว้เผื่อท่านผู้อ่ านจะหลีกเลี่ยงผัก,ผลไม้ฤทธิ์ร้ อน)
ผักและกลุ่มของร้อน(มีฤทธิ์ร้ อน) ได้แก่ ข้าวเหนียว,ข้าวแดง,ข้าวนิล,ข้ าวอาร์ซี,ข้าวสาลี,ข้าวบาร์เล่ ย์,เผือก,มัน,กลอย,รำข้าว,จมู กข้าว,เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดอั ลมอน,เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะม่วงหิ มพานต์ ผักที่มีรสเผ็ด เช่น กระชาย,กระเพา,ยี่หร่า,โหระพา, แมงลัก,กุ้ยช่าย(ผักแป้น),ต้ นหอม,หอมหัวใหญ่,หอมแดง,ผักชี, พริกไทย,ขิง,ข่า,ขมิ้น,ไพล, ใบมะกรูด,ตะไคร้
นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่ มีรสเผ็ดแต่มีฤทธิ์ร้อน เช่น คะน้า,แครอท,บีทรูท,กะหล่ำปลี, ชะอม,ถั่วฝักยาว,ถั่วพู,สะตอ,ลู กเหนียง,กระเฉด,ลูกตำลึง,โสมจี น,โสมเกาหลี,ผักกาดเขียวปลี, ใบยอ,ผักแขยง,ยอดเสาวรส,เม็ดบั ว,แพงพวยแดง,ใบ ยอด เม็ดกระถิน,พืชที่มีกลิ่นฉุน
ผลไม้ฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ฝรั่ง,ขนุนสุก,ลิ้นจี่,เงาะ, ลำไย,ทุเรียน,น้อยหน่า,สละ,องุ่ น,ส้มเขียวหวาน,กล้วยไข่,มะตูม, ละมุด,กล้วยปิ้ง,ลองกอง,เสาวรส, มะเฟือง,มะปราง,สมอพิเภก,มะไฟ, ทับทิมแดง,มะม่วงสุก,ลูกยอ, กระเจี๊ยบแดง
นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่
ผลไม้ฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ฝรั่ง,ขนุนสุก,ลิ้นจี่,เงาะ,
ดูๆแล้วคล้ายกับว่าผู้ป่วยมะเร็ งถูกห้ามทานทุกอย่าง จริงๆไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่เนื่องจากอาหารที่ห้ามทานเป็ นอาหารที่คนทั่วไปเขาทานกั นแทบทั้งนั้น ยังมีผักผลไม้อีกเยอะแยะครับที่ ทานได้ โดยหลักการอาหารผู้ป่วยมะเร็งต้ องเป็นฯอาหารมังสวิรัติ (ยิ่งเป็นผักสด,ผลไม้สดได้ยิ่ งดี) ไม่มีไขมัน ไม่ใส่เกลือ น้ำปลา มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ ยวกับอาหารต้านมะเร็งซึ่งผู้อ่ านสามารถสั่งซื้อได้ เช่น ของสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ ก็มีหลายเล่มที่เขียน รายการอาหารต้านมะเร็ง เบอร์โทร 02-5137670, หนังสือ “ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง” (ข้างในเล่มจะมีเมนู อาหารสลายมะเร็งให้อ่านเยอะดี นะครับ) ของบริษัท เอ็ดดูเคชั่น ไมน์ด ไลน์ มัลติมีเดีย จำกัด เบอร์โทร 02-7361337 , หนังสือ “ความลับฟ้า” ของอ.ใจเพชร (หมอเขียว) เบอร์โทร 086-7562357 ซึ่งเล่มนี้มีผักพื้นบ้าน มีเรื่องผักฤทธิ์เย็น,ผลไม้ฤทธิ ์เย็น (ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งกินได้) มีเรื่องผักและผลไม้ฤทธิ์ร้อน (ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรกิน) ต่การทำอาหารของ อ.ใจเพชรเป็นเมนูปรับพื้นฐานสุ ขภาพแทบทุกรายการจะใส่เกลือ ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งต้องงดเกลื อครับ แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้ องซีเรียสครับ ยิ่งท่านอ่านหนังสือแนวนี้ ท่านจะพบว่ารายละเอียดแต่ละเล่ มจะแตกต่างกัน อ่าน20เล่มก็เจอรายการต่างกั น20รายการ แถมบางเรื่องรายการเล่มนี้ บอกให้ทานได้,ให้ใช้ได้ แต่เล่มโน้นบอกห้ามทาน,ห้ามทำก็ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ เหมือนผมตอนแรกๆอ่านหลายเล่มก็ สับสนสุดท้ายก็ยึดหนังสือของน. พ.เกอร์สันเป็นหลัก แต่พอทำตามหนังสือของน.พ.เกอร์ สันได้ประมาณ2ปีก็ติดปัญหาจาม, ไอหอบหืด,แผลร้อนในเยอะมากก็ ลองอ่านของอ.ใจเพชร ท่านมีผักฤทธิ์เย็น,ผลไม้ฤทธิ์ เย็น ผักพื้นบ้าน ผลไม้พื้นบ้านก็มาปรับใช้ อาการที่กล่าวมาก็ดีขึ้นมาก ผมเลยซาบซึ้งว่าผักผลไม้ของแต่ ละประเทศ แต่ละทวีป ก็เหมาะกับคนท้องถิ่นนั้นๆ ผักผลไม้ของอ.เกอร์สันก็ เหมาะสำหรับฝรั่งอเมริกา ส่วนคนไทยเราผักพื้นบ้านฤทธิ์ เย็นนี้แหละที่ดีที่สุดครับ
สำหรับผมเอง มื้อเช้าจะทานข้าวกล้องสวย 1 จานกับผัดผักรวม1จานก็ผัดโดยใช้ น้ำแทนน้ำมัน ผักก็เป็นผักพื้นบ้านเช่น ผักหวาน,ผักตำลึง,มะเขือ,ผั กกวางตุ้ง, ผัดไม่ใส่เกลือ,ไม่ใส่น้ำปลา
แรกๆที่ผมต้องทานอาหารแบบนี้ ผมก็ต้องฝืนกินครับ เพราะมันจืดสนิท แต่พอผ่านไปซัก1เดือนก็เริ่มรั บได้กับรสชาดหวานอ่อนๆของน้ำผัก เพราะฉะนั้นนิสั ยความชอบในรสชาติฝึกกันได้ครับ ส่วนมื้อกลางวันผมมักทำสลัดพื้ นบ้านสดๆ เช่น ผักบุ้งนา,ยอดฟักทอง,ผักหวาน, กะหล่ำดอกดิบๆ บร็อคโครี่ดิบๆ,ก้านสายบัว หั่นรวมกันซักถ้วยชามหนึ่ง แล้วบีบมะนาว ราดด้วย Flax Seed Oil 2 ช้อนชา (สั่งซื้อได้ทาง WWW.STATMX.COM ครับ) แล้วคนให้ผักทุกอย่างให้เข้ากัน ค่อยๆทานไปช้าๆ บางวันพอมีลิ้นจี่ก็แกะเนื้อลิ้ นจี่ผสมเข้าไปด้วย มีมะม่วงห่ามๆก็ซอยมะม่วงห่ ามผสมเข้าไปด้วย ส่วนมื้อหัวค่ำก็ทานข้าวสวยกล้ อง 1 จานทานกับน้ำพริกมะเขือเทศ (ตำกระเทียมพอเล็กน้อย พอได้กลิ่นแล้วใส่มะเขื อเทศซอยตำเข้าไปบีบมะนาวลงไปอี ก) 1 ถ้วยทานกับผักสด 1 จาน เมนุอาหารพอทำไปซักระยะหนึ่ง เราเริ่มเบื่อแต่ให้ท่านอดทนเพื ่อให้ได้เพราะการกินการอยู่ ในแนวนี้จะซ้ำซาก,จำเจและเหงา (เพราะทานอยู่คนเดียว) แต่มันเป็นแนวทางที่เก็บชีวิ ตเราได้นะครับ
แรกๆที่ผมต้องทานอาหารแบบนี้ ผมก็ต้องฝืนกินครับ เพราะมันจืดสนิท แต่พอผ่านไปซัก1เดือนก็เริ่มรั
อ่านต่อในช่องความเห็นครับ....
ผมมีประสบการณ์ตรงกับอ.ใจเพชร มีผู้ป่วยมะเร็ งบางรายมาขอคำแนะนำจากผมไป ผมก็ให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกั บแนวเกอร์สันไปทั้งหมด ทั้งอาหารแบบนี้ ทั้งการสวนกาแฟ,ทั้งการดื่มน้ ำคั้นผักผลไม้สด แต่พอผู้ป่วยกลับไปทำได้สั กระยะหนึ่ง คนรอบๆข้างรวมถึงแพทย์เริ่ มบอกว่า อาหารแบบนี้ไม่ดี เพราะผู้ป่วยได้สัดส่วนอาหารไม่ ครบ 5 หมู่ ต้องทานเนื้อสัตว์,ไขมันด้วย พอผู้ป่วยกลับไปทานตามคำแนะนำดั งกล่าว อีกไม่กี่สัปดาห์มะเร็งกำเริ บมากขึ้นมีน้ำท่วมปอด,มีท้ องมานน้ำ ทรมานมาก อันที่จริงที่ต้องรู้ก่อนคือ อาหารแนวเกอร์สันเป็นอาหารสำหรั บรักษามะเร็ง ดังนั้นอะไรที่ทานเข้าไปแล้ วจะไปส่งเสริมให้มะเร็งเจริญเติ บโตลุกลาม ต้องตัดสิ่งนั่นอออกให้หมด ทั้งผมเองกับอ.ใจเพชรเองก็มี ความเห็นตรงกันว่า สำหรับผู้ป่วยมะเร็งนั้นกินมั งสวิรัตอย่างเดียวดีที่สุด ผมยืนยันว่าอาหารแนวนี้มีโปรตี นจากพืชผัก,ผลไม้สดพอครับ แล้วอย่าลืมนะครับยังมีน้ำคั้ นผักน้ำคั้นผลไม้สดที่เราต้องดื ่มให้ได้ 10-13 แก้วต่อวัน ในน้ำคั้นนี้มีเอ็นไซม์ (ซึ่งเป็นโปรตีน) เยอะครับ เพียงพอกับร่างกาย อีกอย่างครับ ร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งเป็นผู้ ใหญ่แล้วไม่ใช่ร่างกายเด็กที่ต้ องการการเจริญเติบโตอีก ร่างกายผู้ใหญ่ต้องการโปรตี นไปสร้างสารโปรตีนให้เซลล์ได้ ใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งปริมาณโปรตีนจากผักผลไม้ พอครับ ดั้งนั้นทานอหารแบบเกอร์สันนี่ แหละดีแล้ว อย่านอกลู่นอกทางนะครับ เพราะมะเร็งมันร้ายมาก มันเป็นกับผู้ใดมันก็มุ่งหมายฆ่ าผู้นั้นตลอดเวลา ฉะนั้นอย่าได้ประมาทมันนะครับ!
ข้อปฏิบัติตัวอื่นๆ
ยังมีข้อปฏิบัติตัวรายละเอี ยดปลีกย่อยอื่นๆที่ผมจะบอกอี กหน่อยครับ
น้ำที่ใช้อาบ ควรเปิดน้ำประปาใส่ถังอาบทิ้ งไว้สัก 1-2 วันเพื่อให้คลอรีนระเหยให้หมด เพราะคลอรีนเป็นอันตรายต่อผู้ป่ วยมะเร็ง คลอรีนถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนั งได้
น้ำบ้วนปากเวลาแปรงฟัน ให้ใช้น้ำกรองสำหรับดื่มมาบ้ วนปากนะครับ ห้ามใช้น้ำประปาบ้วน เพราะคลอรีนดูดซึมผ่านกระพุ้ งปากได้ง่ายครับ
ยาสีฟัน ใช้ยาสีฟันเจ้าพระยาอภัยภู เบศรธรรมชาติที่สุด ใช้ขนาด 1 เมล็ดข้าวโพดพอ แปรงเช้า-ก่อนนอน
สบู่ยาสระผม ใช้ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรดีสุด
เสื้อผ้า อย่าซักเอง ควรมีคนซักหรือซักเครื่อง เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องหลีกเลี่ ยงสารเคมีทุกรูปแบบ
ห้ามลงเล่นน้ำทะเล เพราะเกลือในน้ำทะเลถูกดูดซึมผ่ านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้
ห้ามลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ เพราะสระว่ายน้ำเขาใส่คลอรี นเยอะมาก คลอรีนเป็นอันตราบต่อผู้ป่ วยมะเร็ง
ห้ามเข้าไปใกล้บริเวณที่มีการฉี ดพ่นสารเคมีทางเกษตรกรรม เช่น บริเวณสวนไร่นาที่พ่นยาฆ่าแมลง สนามกอล์ฟ
หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่มี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตอนช่วงปีแรกผมอยู่ ในแนวทางเกอร์สัน ผมปิดโทรศัพท์มือถือตลอด เตาไมโครเวฟก็ห้ามใช้ ทีวีผมจะดูให้น้อยที่สุด
ยังมีข้อปฏิบัติตัวรายละเอี
น้ำที่ใช้อาบ ควรเปิดน้ำประปาใส่ถังอาบทิ้
น้ำบ้วนปากเวลาแปรงฟัน ให้ใช้น้ำกรองสำหรับดื่มมาบ้
ยาสีฟัน ใช้ยาสีฟันเจ้าพระยาอภัยภู
สบู่ยาสระผม ใช้ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรดีสุด
เสื้อผ้า อย่าซักเอง ควรมีคนซักหรือซักเครื่อง เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องหลีกเลี่
ห้ามลงเล่นน้ำทะเล เพราะเกลือในน้ำทะเลถูกดูดซึมผ่
ห้ามลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ เพราะสระว่ายน้ำเขาใส่คลอรี
ห้ามเข้าไปใกล้บริเวณที่มีการฉี
หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่มี
เรื่องการออกกำลังกาย น.พ.เกอร์สันจะเน้นให้ผู้ป่ วยมะเร็งที่มาเข้าแนวทางเกอร์สั นพักให้มากๆแม้ช่วงแรกๆที่มาเข้ าแนวทางนี้จะรู้สึกเบาเนื้ อเบาตัวสดชื่น แต่ท่านก็ให้พักอย่าเพิ่ งออดกำลังกาย ท่านเองให้เก็บแรงไว้สู้กั บมะเร็ง และถ้าอยู่ในแนวเกอร์สันไปได้ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเจออาการถอนพิษ (ซึ่งถ้าผู้ป่วยที่มาเข้ าแนวทางเกอร์สันตั้งแต่แรกเลย ยังไม่ได้ผ่าตัด,ฉายแสงและ/หรื อใช้เคมีบำบัด จะมีอาการถอนพิษเด่นชัดมาก แสดงว่าร่างกายกำลั งตอบสนองไปในทางที่ดี) อาการถอนพิษบางทีทำให้เพลียได้ ทางสถาบันเกอร์สันแนะนำว่า ถ้าจะออกกำลังกายก็ทำได้หลังเข้ าคอร์สไปแล้ว 3 เดือนขึ้นไป โดยเริ่มออกกำลังกายเบาๆจนไปถึ งเดินเร็วได้ พอเริ่มรู้สึกเหนื่อยก็พัก
งดใช้เครื่องสำอาง ,สเปรย์หรือลูกกลิ้งดับกลิ่ นกาย,ห้ามย้อมสีผม,ห้ามใช้น้ ำหอม,ห้ามใส่เจลแต่งทรงผม,ห้ ามใช้สเปรย์เซ็ททรงผม,ห้ามทุ กอย่างที่เกี่ยวกับเคมีเสริ มสวย,เสริมหล่อ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องห้ามรั บสารเคมีเข้าสู่ร่างกายทุกรู ปแบบ
งดใช้เครื่องสำอาง ,สเปรย์หรือลูกกลิ้งดับกลิ่